ฟ้าเปิดแล้ว | คำ ผกา

คำ ผกา

วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จะเป็นวันเลือกตั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

นั่นคือเป็นการเลือกตั้งที่ทำให้นั่งร้านของอำนาจเผด็จการล่มสลายผ่านปลายปากกาของประชาชน ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์

บทบาทของกลุ่มคนที่ช่วยเชื้อเชิญ สร้างความชอบธรรมให้กับคณะรัฐประหารถูกปิดฉากลงไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล และ สุเทพ เทือกสุบรรณ

เป็นประจักษ์พยานว่าสังคมได้รับบทเรียนแล้วว่าการรัฐประหารไม่ใช่ทางออกของประเทศอย่างที่ใครเขาหลอกลวงเอาไว้

อีกหนึ่งประวัติศาสตร์ที่ต้องบันทึกไว้คือ พรรคเพื่อไทย ย้อนไปตั้งแต่สมัยไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาเป็นเพื่อไทย แม้ผ่านการรัฐประหารปี 2557 ก็ไม่เคยเป็นพรรคที่ไม่ได้เสียงข้างมาก

นี่เป็นครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส.เขต เท่ากับพรรคก้าวไกล แต่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์น้อยกว่าถึง 10 เสียง

แม้แต่ตัวฉันเองก็สารภาพว่านี่เป็นสิ่งที่สุดจะเหนือความคาดหมาย เพราะประมาณการไว้ว่า ก้าวไกลน่าจะได้ไม่เกิน 70 ที่นั่ง

เหนือความคาดหมายไปกว่านั้นคือ ในจังหวัดเช่น ภูเก็ต ระยอง จันทบุรี ที่เราเชื่อว่าเป็นพื้นที่ “สลิ่ม” หรือเป็นพื้นที่ของ “ประชาธิปัตย์” ปรากฏว่า พรรคก้าวไกลชนะน็อกยกจังหวัดกันไปเลย

หรือในจังหวัดของบ้านใหญ่อย่างชลบุรีและสมุทรปราการ ก้าวไกลก็ชนะยกจังหวัด

เชียงใหม่ที่เป็น “โฮมทาวน์ของพรรคเพื่อไทย” ก็แพ้ให้พรรคก้าวไกลแบบแพ้ราบคาบ

เหล่านี้เป็นสักขีพยายานว่า คนไทยและสังคมไทยไม่เพียงแต่เบื่อหน่ายเผด็จการ ปฏิเสธการเข้าสู่อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย

แต่ได้เข้าสู่โหมดของการออกจาก comfort zone กล้าลอง กล้าจะท้าทายกับการเลือกของตัวเองยิ่งขึ้น

และไม่น่าเชื่อว่า แนวนโยบายที่แหลมคม ละเอียดอ่อน เปราะบางมาก อย่างการแก้กฎหมายมาตรา 112 การปฏิรูปกองทัพ การตัดงบฯ กองทัพ หรือประเด็นเกี่ยวกับการแตะโครงสร้างสำคัญในนามของ “ช้างที่อยู่ในห้อง” จะเป็นสิ่งที่สังคมไทยพร้อมนำเรื่องนี้เข้าสู่การถกเถียงในสภา นำโดยพรรคการเมือง

 

คะแนน 141 เสียงที่พรรคเพื่อไทยได้รับคราวนี้จึงเป็นทั้งคะแนน ทั้งความพ่ายแพ้ และเป็นทั้งกุญแจในเวลาเดียวกันที่พรรคเพื่อไทยจะใช้ในการทำงาน และทำแคมเปญหาเสียงในการเลือกครั้งต่อไป

และถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างยิ่งที่พรรคได้มีเหตุผลที่ดีที่สุดในการปรับองค์กรให้ตอบสนองต่อกลุ่ม “ลูกค้า” ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วทั้งเจเนอเรชั่น สถานะทางสังคม เศรษฐกิจ ไลฟ์สไตล์ รสนิยม

สำคัญที่สุด พรรคเพื่อไทยจะปรับจุดแข็งของตัวเองในเรื่องการดูแลคนรากหญ้าอย่างไร เพราะฉันเชื่อว่า นับแต่นี้อีก 4 ปี สถานะทางเศรษฐกิจ ปากท้องของคนชั้นกลาง ค่อนไปทางล่าง แรงงาน และเกษตรกร จะยังอยู่ในสภาวะที่ลำบาก ขัดสน

ถ้ามองในแง่ของความฝันของคนที่เพิ่งได้รัฐบาลใหม่ (หวังว่าจะฟอร์มรัฐบาลได้โดยเร็ว และได้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30) ฉันคิดว่าควรให้พรรคก้าวไกลได้โอกาสในการบริหารกระทรวงที่สัมพันธ์กับโครงสร้างของประเทศ

พรรคก้าวไกลควรได้คุมมหาดไทย เพื่อไปผลักดันเรื่องกระจายอำนาจ

ควรได้คุมกลาโหม เพื่อไปผลักดันเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร การปฏิรูปกองทัพ การสะสางหรืองบประมาณกองทัพ การจัดซื้ออาวุธที่ไม่จำเป็น

ควรได้ดูแลสำนักนายกฯ เพื่อไปสะสางเรื่อง กอ.รมน.

ควรได้ดูแลกระทรวงการคลัง พาณิชย์ พลังงาน เพราะสามกระทรวงนี้สัมพันธ์กันในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ควรได้คุมกระทรวงศึกษาฯ เพราะเรื่องการศึกษา และการต่อต้านระบอบอำนาจนิยมในระบบการศึกษาไทย คือจุดแข็งของพรรคก้าวไกล

พรรคก้าวไกลควรได้ดูแลกระทรวงยุติธรรม เพื่อไปทำการปฏิรูปเรือนจำ และไปทำเรื่องนักโทษการเมือง เรื่องสิทธิการประกันตัว และการใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง

เพราะฉะนั้น การมีพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยร่วมกันเป็นรัฐบาล ฉันเห็นว่า สิ่งที่เราคาดหวังจะเห็นได้ในเร็ววันคือ เรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหาร การทำรัฐสวัสดิการบางส่วนที่สัญญากับประชาชนเอาไว้ เช่น เงินเดือนผู้สูงอายุ 3,000 บาท

ส่วนพรรคเพื่อไทยควรได้กระทรวงไหน ในจินตนาการของฉันเห็นว่าควรเป็นกระทรวงเกษตรฯ เพราะมีนโยบาย Agritech ที่ทำไว้อย่างดี ละเอียดลออ ผ่านการศึกษามาอย่างดี

แต่ในฐานะที่เป็นพรรคอันดับสอง ก็คงต้องให้เกียรติพรรคอันดับหนึ่งในการตัดสินใจ

 

ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งที่ฉันเขียนถึงบ่อยๆ คือ ถ้าการเมืองไทยขยับจากการแข่งขันของพรรคที่เป็นนอมินีของอำนาจการเมืองนอกระบบ

มาเป็นการแข่งขันของพรรคการเมืองในฝั่งประชาธิปไตยทั้งหมด

ทั้งนี้ ต้องรวมเอาพรรคภูมิใจไทย กับพรรคชาติไทยพัฒนาเข้ามาด้วย ในฐานะเป็นพรรคในกลุ่ม

พรรรคประชาชาติ ที่อาจเรียกว่าเป็นพรรค “ภูมิภาคนิยม” ซึ่งน่าจะเป็นตัวแปรให้ประชาธิปไตยของไทยค่อยๆ เข้มแข็ง โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางอำนาจจริงๆ

สิ่งที่เราต้องรอดูคือ ภาวะที่มีรัฐประหารสองครั้งในรอบยี่สิบปี ประชาชนที่ออกมาประท้วงเจอการปราบปรามอย่างหนัก มีการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนผ่านกฎหมายปิดปาก ทำลายเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็นอย่างหนัก

จากเดิมที่ผู้ถูกกระทำเป็นชาวบ้านเสื้อแดง เป็นนักสู้นิรนาม ไร้ตัวตนในการรับรู้ของสื่อและชนชั้นกลาง ขยับมาสู่การเป็นนักเรียน นักศึกษา ที่เป็นลูกหลานชนชั้นกลาง

มีกลุ่มเยาวชนที่เชื่อมโยงกับภาพลักษณ์พลังบริสุทธิ์มากกว่าภาพชาวบ้านตัวดำที่แปลกแยกกับ “คนเมือง”

ช่วยดึงดูดความสนใจของคนเมือง ชาวกรุง ชนชั้นกลางที่เคยเป็นผู้เพิกเฉยทางการเมือง หรือ ignorance หรือแอบเห็นใจคนเสื้อแดงลับๆ ได้โอกาสที่เผยตัวเป็นผู้สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยอย่างสบายใจยิ่งขึ้น

ช่วยสร้างกระแสการตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ไม่ใช่ด้วยนโยบาย แต่เลือกจากอัตลักษณ์เชิงอุดมการณ์ หรือ ideology identification

ซึ่งพรรคก้าวไกลทำแคมเปญนี้ได้ตรงจุด และใช้เป็นจุดขายของพรรค จนเกิดภาพจำว่าเป็นพรรคที่พร้อมชนกับ “โครงสร้าง” และการถูกจองจำจากอำนาจเผด็จการ

 

ในขณะที่พรรคเพื่อไทยมี political identification ที่ร้อยรัดกับคนเสื้อแดง ที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้จัก หรือกลุ่มชนชั้นกลางที่เป็นสลิ่มมาก่อน หรือเป็น ignorance ทางการเมืองมาก่อน ยังมองขบวนการเสื้อแดงเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง สนใจการเมืองอีกที ก็มีพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนในการต่อสู้เพื่อประชาชนและเสรีภาพของเยาวชนไปเสียแล้ว

ยังไม่นับกลุ่มปัญญาชนที่สนับสนุนเสื้อแดง แต่มองว่า พรรคและทักษิณ ชินวัตร คืออุปสรรคของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มีวาทกรรม สู้ไปกราบไป เกี้ยเซี้ย ก็ยิ่งหันมาสนับสนุนพรรคก้าวไกล

ฉันไม่ได้บอกว่า สิ่งเหล่านี้ผิดหรือถูก แต่เมื่อมันเป็นเศษส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางการเมืองจนนำมาสู่เสียง 14 ล้านเสียงที่ส่งให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ก็จำเป็นต้องหมายเหตุไว้ว่านี่คือหนึ่งใน “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” เช่นกัน

 

สิ่งที่ดีที่สุด และสุขภาพดีต่อการเมืองไทย สังคมไทย และคนไทยตอนนี้คือ เราได้กลับสู่โหมดของการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลที่เราเลือกปิดโหมด ตื่นเช้ามาด่าประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งน่าจะท้าทายความคิด และสมองของเรามากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ที่แค่ด่าประยุทธ์ ก็ถือว่าได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแล้ว

ต่อไปนี้จะได้เปิดโหมด วิจารณ์นโยบาย กดดันให้รัฐบาลทำงานตามที่สัญญาไว้กับประชาชนให้สำเร็จ วิจารณ์เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาลจะไม่ถูกปิดกั้นจากกฎหมายปิดปาก อย่าง พ.ร.บ.คอมพ์ หรือกฎหมายหมิ่นประมาทในรูปแบบต่างๆ

แค่นี้ก็ถือว่าฟ้าเปิดมาเกินครึ่งแล้ว

ขอแสดงความยินดีกับคนไทยทุกคนที่จะได้มีรัฐบาลที่มาจากประชาชนเสียที