ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 พฤษภาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
เผยแพร่ |
นับเป็นเรื่องอื้อฉาววงการสงฆ์อีกครั้ง สำหรับกรณีพระวชิรญาณโกศล หรือพระอาจารย์คม อภิวโร ประธานสงฆ์วัดป่าธรรมคีรี ที่อ้างตัวเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐานชื่อดัง ฝ่ายธรรมยุต ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับสึก หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดทุจริตเงินวัด ร่วมกับคณะยักยอกทรัพย์สินหลายร้อยล้านบาท
แถมยังมีความผิดฐานเสพเมถุนกับพระคู่ขา
สร้างความตื่นตะลึงกับบรรดาศิษยานุศิษย์ ที่เข้าไปเคารพกราบไหว้บูชา กลับกลายเป็นอลัชชีที่ใช้ผ้าเหลืองหาประโยชน์ให้กับตัวเอง และพวกพ้อง
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าแม้จะถูกจับกุม แต่ก็ยังไม่มีความสำนึก โทรศัพท์แจ้งลูกน้องคนสนิทให้รีบยักย้ายถ่ายเท เอาทองคำ-เงินสดไปซุกซ่อน หนีการตรวจสอบจับกุมของเจ้าหน้าที่
การปฏิบัติสวนทางกับคำเทศนาที่ปรากฏออกมาอย่างยิ่ง
กลายเป็นข้อสงสัยว่าถ้อยคำสวยหรูที่ปั้นแต่งออกมาตามหลักพุทธศาสนา ก็เกิดจากเจตนาหลอกลวงเงินญาติโยมที่เข้ามาถวายเท่านั้น
เป็นอุทาหรณ์เตือนชาวพุทธ ให้มีสติในการเลือกที่จะเคารพสักการะ โดยเฉพาะเรื่องการบริจาค!!
จับสึก ‘สมีคม’ เม้มเงินวัด
สําหรับเรื่องอื้อฉาววงการสงฆ์ครั้งนี้ มีประเด็นถกเถียงกันตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เมื่อมีการเปิดเผยเอกสารลงนามโดยพระครูพิทักษ์มัชฌิมเขต (จิรศักดิ์) เจ้าคณะตำบลปากช่อง (ธรรมยุต) แต่งตั้งพระราชวชิราลังการ สุทธิญาโณ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณวรารามวรวิหาร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี แทนที่พระมหาวุฒิมา ปัญญาวุฒโฒ เจ้าอาวาส
จากนั้นพระราชวชิราลังการลงนามในคำสั่งวัดป่าธรรมคีรี แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจทรัพย์สินของวัด โดยมีพระญาณดิลก วัดมกุฏคีรีวัน เป็นประธาน
ท่ามกลางกระแสว่าพระวชิรญาณโกศล หรือพระอาจารย์คม อายุ 39 ปี รับกิจนิมนต์เข้ามาใน กทม. และถูกขอให้ลาสิกขาแล้ว ในวัดที่ กทม.
ขณะที่นายอินทพร จั่นเอี่ยม รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะรักษาการแทน ผอ.พศ. ชี้แจงว่า การสึกของพระอาจารย์คมเป็นเรื่องความสมัครใจ และไม่ได้รับรายงานเรื่องการทุจริต ส่วนการตั้งรักษาการเจ้าอาวาส และคณะกรรมการสำรวจทรัพย์สินวัดเป็นไปตามขั้นตอน เพื่อป้องกันไม่ให้โยกย้ายทรัพย์สิน หรือเกิดความเสียหาย เป็นขั้นตอนปกติ
ทั้งนี้ ข้อเท็จจริง เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี คือพระมหาวุฒิมา ที่ทราบว่าลาสิกขาไปแล้ว ส่วนพระคม เป็นเพียงพระลูกวัด แต่มีบทบาทในวัดมาก ทำให้ถูกเข้าใจว่าเป็นเจ้าอาวาส
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความแตกตื่นให้กับบรรดาลูกศิษย์ เพราะพระคม เป็นพระหนุ่มสายวิปัสสนากรรมฐานชื่อดัง สนใจและศรัทธาในคำสอนและแนวทางการฝึกภาวนาของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี มาตั้งแต่สมัยเรียนระดับมัธยมศึกษา มีลูกศิษย์เป็นผู้มีชื่อเสียง นักธุรกิจ ข้าราชการระดับสูง และนักการเมือง รวมทั้งดาราดังด้วย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อึมครึมอยู่ไม่นาน ก็ปรากฏชัดว่าที่ระบุพระคมลาสิกขาเองนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริง
โดยเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พร้อมคณะก็แถลงจับกุมนายคม คงแก้ว หรืออดีตพระวชิรญาณโกศล หรืออดีตพระอาจารย์คม พร้อมนายวุฒิมา เถาว์หมอ อายุ 38 ปี หรือพระหมอ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี และ น.ส.จุฑาทิพย์ ภูบดีวโรชุพันธุ์ อายุ 35 ปี น้องสาวของนายคม
พร้อมแจ้งข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และรับของโจร”
สรุปว่าถูกจับสึกนั่นเอง!!!
ส่งฝากขัง-รับเสพเมถุน
พล.ต.ต.มนตรีเปิดเผยถึงพฤติกรรมของพระคม ที่ปัจจุบันกลายเป็น “สมีคม” ไปแล้วว่า สืบเนื่องจากตัวแทนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้าร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ “สมีคม” เนื่องจากสงสัยว่ามีการทุจริตเงินวัด จึงให้ฝ่ายสืบสวนเข้าตรวจสอบ พบวัดดังกล่าวมีพระคมเป็นผู้ดูแลการใช้จ่ายเงินต่างๆ ของวัด รวมถึงเงินที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ
โดยร่วมกับพระหมอ เจ้าอาวาส นำเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายส่วนตัว และยังนำเงินสดมอบให้ไว้กับ น.ส.จุฑาทิพย์ น้องสาวของพระคม เอาไปฝากบัญชีธนาคาร บางส่วนก็เก็บไว้ที่บ้านพัก
เบื้องต้นพบเงินที่ยักยอกไปนับร้อยล้านบาท เอาแค่ตรวจค้นที่บ้านพักของ น.ส.จุฑาทิพย์ ที่ จ.นนทบุรี ก็พบเงินสด 51 ล้านบาท ซุกลังโฟมและกระเป๋าเดินทาง เตรียมที่จะขนย้ายได้ทันที ไม่เพียงแค่นั้นยังพบว่ามีเงินในบัญชีธนาคารอีกกว่า 130 ล้านบาท
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสาม รับสารภาพว่านำเงินของวัดออกมาจริง นอกจากนี้ สมีคม ยังรับสารภาพด้วยว่าระหว่างถือสมณเพศนั้น ได้เสพเมถุนกันภายในกุฏิวัดด้วย ซึ่งถือเป็นอาบัติปาราชิกตามพระธรรมวินัย
โดยที่รายงานระบุว่าคู่ขาของ “สมีคม” ก็คือพระหมอ อดีตเจ้าอาวาส และยังมีลูกศิษย์อีก 2 รูป เท่ากับว่าพระสงฆ์ที่จำวัดที่วัดป่าธรรมคีรีที่มีทั้งหมด 4 รูป ล้วนถูกจับสึก และถือเป็นอาบัติปาราชิก ซึ่งไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ได้ ขณะที่พระสงฆ์อีก 20 รูป ที่จำวัดดังกล่าวไม่ใช่พระสงฆ์ที่ประจำวัด จึงต้องพิจารณาว่าจะให้พระที่ใดมาจำวัดที่วัดป่าธรรมคีรีต่อไป
ทั้งนี้ พบว่าแม้ “สมีคม” จะรับสารภาพว่ายักย้ายถ่ายโอนเงินของวัดป่าธรรมคีรี เข้าบัญชีน้องสาวจริง บางส่วนเก็บไว้ที่บ้าน แต่ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่มีเจตนาโกงเงินวัด ส่วนนายวุฒิมา หรือพระหมอ ให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงเตรียมตัวส่งฝากขัง
ซึ่งศาลไม่ให้ประกัน ส่งตัวเข้าเรือนจำทันที
และไม่ใช่แค่ทรัพย์สินที่พบในบ้านพักน้องสาวและบัญชีธนาคารเท่านั้น
เจ้าหน้าที่ยังติดตามตรวจสอบภายในวัดป่าธรรมคีรี จนพบทรัพย์สินอีกเป็นทองคำแท่งมูลค่า 19 ล้านบาท เงินสด 80 ล้านบาท ถูกฝังไว้บนเขาหลังวัด
รวมกับทรัพย์สินที่พบครั้งแรกแล้วกว่า 300 ล้านบาท จากสืบสวนทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาน่าจะเริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่ปี 2563
ล้วนเป็นเงินที่ญาติโยมเอามาทำบุญ!!!
จับเพิ่มอีก 6 ช่วยขนทอง
นอกจากนี้ ยังพบมีผู้ร่วมก่อเหตุร่วมแก๊ง “สมีคม” อีก 6 คน ประกอบด้วย นายบุญส่ง หรืออดีตพระบุญส่ง, นายบุญเหลือ หรืออดีตพระบุญเหลือ, นายธนกฤษ หรืออดีตพระธนกฤษ, นายบัณฑิต หรืออดีตพระบัณฑิต, นายณัฐพัชร์ หรืออดีตพระณัฐพัชร์ ทั้งหมดเป็นพระลูกวัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และนายบุญศักดิ์ คนขับรถของวัด
โดยมีพฤติกรรมร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันรับของโจร
จับได้พร้อมของกลางเงินสด 76,021,813 บาท, ทองคำรูปพรรณ 920 รายการ น้ำหนักรวมประมาณ 100 บาท มูลค่าประมาณ 2.8 ล้านบาท, ทองคำแท่ง 46 รายการ น้ำหนักรวมประมาณ 500 บาท มูลค่าประมาณ 16 ล้านบาท, ทองคำแผ่น 540 รายการ น้ำหนักรวมประมาณ 100 บาท มูลค่าประมาณ 3.2 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 22 ล้านบาท, สมุดบัญชี 30 เล่ม, หนังสือเดินทาง 3 เล่ม, รถตู้ 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 11 เครื่อง
ซึ่งเป็นการขยายผลจากการสอบสวนนายวุฒิมา ที่ให้การว่านำเงินวัด 9 ล้านบาทไปซื้อทองคำตามคำสั่ง “สมีคม” แต่จากการตรวจสอบวัด กลับไม่พบทองคำที่กล่าวอ้าง
สืบสวนจนพบว่ามีแก๊งพระอีก 5 รูป และคนขับรถวัดเป็นผู้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปซุกซ่อนตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งพบว่าเป็นคำสั่งของ “สมีคม” เอง ที่ออกอุบายยืมโทรศัพท์ตำรวจหลังจากที่ถูกจับแล้ว เพื่อขอติดต่อญาติให้นำยารักษาโรคมาให้ แต่กลับสั่งการให้ทั้งหมดเร่งขนย้าย และบางส่วนที่ขนย้ายไม่ทันก็เอาไปฝังที่ภูเขาด้านหลังวัด ตามที่ติดตามทรัพย์สินกลับมาคืนได้
รวมทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 280 ล้านบาท!!!
ไม่เพียงแค่นั้น วันที่ 9 พฤษภาคม เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปลด พ.อ.ชัยเมธี ภูบดีวโรชุพันธุ์ นายทหารปฏิบัติการประจำสำนักงานรองผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 3 กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ออกจากราชการและถอดออกจากยศทหาร พร้อมเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา โดยไม่มีบำเหน็จบำนาญ
เนื่องจากประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง กล่าวคือ มีพฤติการณ์เป็นข้าราชบริพารในพระองค์ชักชวนบุคคลอื่นที่ไม่ดีเข้ามาหลอกลวงในราชสำนัก ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ส่งผลให้เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้เสียหายต่อหน่วยราชการในพระองค์ กับเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และผิดต่อราชสวัสดิ์ เป็นนายทหารพ้นราชการประเภทที่ 2 สังกัด ส่วนราชการในพระองค์
โดยที่ พ.อ.ชัยเมธี มีนามสกุลเดียวกับน้องสาวของ “สมีคม”
คดีจะสิ้นสุดลงที่จุดใด คงต้องติดตาม!!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022