โค้งสุดท้าย ระบอบ 3 ป. หายนะจะมาเยือน

แผนประทุษกรรมเดิมๆ เคยทำมาแล้ว และยังคงทำอยู่ หากแต่ปัญหามีอยู่ว่า “จะทำอย่างไรต่อไป” ถ้าผลการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2566 นี้ออกมาชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เหมือนดังที่โพลหลายสำนักแสดงผลทายทักออกมาให้เห็น

ผลจากโพลทุกสำนักชี้ไปในแนวเดียวกันว่า ประชาชนส่วนใหญ่รู้ร้อนรู้หนาวกับการถูกพรากอธิปไตยไปตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557

ความเท่าเทียมและเสมอภาคภายใต้กฎหมายเป็น “สิทธิสากล” ในโลกเสรีนิยมที่สมมุติให้ 1 คน มี 1 สิทธิเท่ากัน ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร หรือได้มากไปกว่าใคร

บัดนี้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเลือกตั้ง ’66 หลายสำนักโพลสำรวจความนิยมที่ประชาชนมีต่อนักการเมืองและพรรคการเมือง เช็กกระแสกันหลายรอบพบปรากฏการณ์ที่น่าหวั่นวิตกสำหรับ “ระบอบ 3 ป.”

ถ้าแบ่งกลุ่มการเมืองอย่างง่ายๆ ออกเป็น 2 สาย

หนึ่ง “สายประชาธิปไตย” กับสอง “สายอนุรักษนิยม”

ในโค้งสุดท้ายนี้ โพลหลายสำนักสำรวจกระแสออกมาตรงกันว่า “หายนะ” น่าจะมาเยือนสายที่สอง

 

ยกตัวอย่าง โพล “มติชน-เดลินิวส์” รอบสองซึ่งสำรวจระหว่าง 22-28 เมษายนที่ผ่านมา

ผลสำรวจ “ตัวบุคคล” ที่ประชาชนนิยมเลือกให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 49.17 แพทองธาร ชินวัตร 19.59 เศรษฐา ทวีสิน 15.54

ถ้าลองเอาทั้ง 3 คนนี้มารวมกัน จะเห็นความนิยมในสายประชาธิปไตยถึงร้อยละ 84.30

ขณะที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มาเพียงร้อยละ 6.52 ประวิตร วงษ์สุวรรณ 2.35 และ กรณ์ จาติกวณิช 1.74

หากนำเอาทั้ง 3 คนนี้มารวมกัน ความนิยมมีอยู่แค่ร้อยละ 10.61 เท่านั้น

ในการเลือก “ปาร์ตี้ลิสต์” พรรคก้าวไกลได้ไปถึงร้อยละ 50.29 เพื่อไทย 33.56 รวมกันแล้วสูงถึงร้อยละ 83.85

ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งประกาศสนับสนุน “ป-ประยุทธ์” ให้ไปต่อ ได้รับความนิยมร้อยละ 6.05 และพลังประชารัฐ ของ “ป-ประวิตร” ได้แค่ร้อยละ 2.46 รวมกันแล้ว 2 พรรคนี้ได้รับความนิยมเพียงร้อยละ 8.51 เท่านั้น

ห่างชั้นชนิดที่พี่น้อง 2 ป. “ประวิตร-ประยุทธ์” ทำใจลำบาก!

ผลการสำรวจความนิยมจากโพลไทยรัฐ และสวนดุสิตโพล ก็ออกมาในแนวเดียวกัน

คำถามคือ กลุ่มคนเดิมๆ “จะทำอย่างไรต่อไป”

 

ถ้าย้อนกลับไปดู “แผนประทุษกรรม” ที่ผ่านมาจะพบว่า ไม้ตายคือกลยุทธ์ทำลาย!

ภาพของพรรคอนาคตใหม่ผุดขึ้น ก่อตั้งเมื่อ 15 มีนาคม 2561 เป็นทางเลือกให้กับคนรุ่นใหม่

อายุเพียงแค่ปีเดียว “อนาคตใหม่” ก็ชนะเลือกตั้งท่วมท้น กลายเป็นพรรคใหญ่อันดับ 3 ได้ผู้แทนฯ ถึง 81 คน

ในวันนั้นพรรคอนาคตใหม่ต้องฝ่าด่านผ่านกระบวนท่าการเมืองที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน จนถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค หลังจากนั้น ส.ส.จำนวนหนึ่งย้ายพรรค ห้ำหั่นกันจนสุดท้ายเหลือ ส.ส. 55 คน สืบเนื่องถึงวันนี้ภายใต้ชื่อ “พรรคก้าวไกล” มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นหัวหน้าพรรค

อย่าลืมเชียวว่า ไม้ตายคือกลยุทธ์ทำลาย

“ก้าวไกล” ที่กระแสความนิยมพุ่งทะยานนำโด่งจากโพลทุกสำนักในวันนี้ อาจจะต้องเผชิญกับอะไรหลังจากนี้

ภาพเก่าๆ ในอดีตผุดพรายขึ้นมาอีก

สุดพิสดารกับประเทศที่อวดอ้างว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย คนที่ออกมาขอเลือกตั้งกลับถูกจับกุมดำเนินคดี คนที่วิจารณ์โดยสุจริตแต่คิดต่าง ถูกตีความว่าเป็นคนไม่ดี ก่อความวุ่นวาย ส่วนคนที่ไม่ยอมสยบหรือไม่จำนนให้กับทหาร กลายเป็นภัยความมั่นคง

แต่คนที่มีตำแหน่งแค่ “ผบ.ทบ.” สามารถพูดจาโอหัง ฟาดงวงฟาดงาด่านักวิชาการและนักการเมืองว่าเป็น “พวกซ้ายจัดดัดจริต” ปลุกความเกลียดชังในบ้านเมืองโดยที่ไม่มีใครกล้าว่ากล่าวตักเตือน

 

“ก้าวไกล” หรือพรรคอนาคตใหม่ในอดีต เป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไม่ต้องการให้มี “ที่ยืน” ในสังคมไทย จึงไม่แปลกที่จะถูก “ขบวนการไอโอ” หรือ Information Operation ที่ฝังตัวอยู่ในกองทัพ ถล่มทำลายได้ตลอดมาโดยที่ไม่มีการดำเนินคดีให้รู้ผิดรู้ถูก

เช่น สิ่งที่คุณทหารทำอยู่นั้น (ตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติจนถึงผู้บังคับบัญชา ถัดไปจนถึงสูงสุดในหน่วย) อาจเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 116, 117, 157, 165, 172, 173, 174, 209 (อั้งยี่), 210 (ซ่องโจร), 211, 212, 214, 309, 322, 326, 328 และ 393

ส่วนคนที่ยืนอยู่คนละฝั่งกับ “ผู้กุมอำนาจรัฐ” ถึงแม้จะวิจารณ์โดยสุจริต หรือแสดงออกเพียงแค่ปิดปาก เขียนข้อความแปะหลังตัวเองแล้วเดินไปมา ไม่พูดไม่จา ไม่ด่าก็ถูกจับกุมคุมขัง ยัดข้อหารุนแรงให้ตั้งแต่ ป.อาญา มาตรา 112, 113, 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ได้โดยง่ายดาย

อย่าได้แปลกใจ ประเทศไทยกำลังพยายามจะก้าวผ่าน “ระบอบทหาร” ซึ่งเกิดจากทหารจำนวนหนึ่งสั่งเคลื่อนพลพร้อมอาวุธเข้ายึดเอา “อำนาจรัฐ” พรากอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน แล้วสถาปนาตนเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ซึ่งผิดกฎหมายอาญาร้ายแรง มีโทษถึงขั้น “จำคุกตลอดชีวิต” หรือ “ประหารชีวิต”

 

ส่วน “ระบอบเลือกตั้ง” นั้น ประชาชนเป็นใหญ่ ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา มาจาก “การหย่อนบัตร” ของประชาชน ในขณะที่ฝ่ายตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารอย่างสิ้นเชิง

แต่ประเทศของเราตกอยู่ภายใต้การปกครองของ “ระบอบทหาร” มานานจนมึนชา

เชื่อในคำโฆษณาว่า “รัฐประหาร” สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ และชอบให้อภัยกับ “คนใช้อาวุธ” แต่เอาเป็นเอาตายกับ “คนใช้ปาก” แสดงความเห็นที่แตกต่าง จับกุมคุมขังเคร่งครัด

ด้วยเหตุนี้ หลังรัฐประหารทุกครั้งเมื่ออำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการถูกผนึกเป็นปึกแผ่น ในบ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

นับตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา การพัฒนาประเทศทุกด้านล่าช้าถึงขั้นล้าหลังไปหลายก้าวเมื่อเทียบวัดกับในภูมิภาค ผู้นำไม่มีสง่าราศรีในเวทีโลก จัดอันดับโลกชี้วัดว่า การคอร์รัปชั่นไทยเลวร้ายหนักขึ้น กระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระถูกแทรกแซงจนออกแนวเลอะเทอะ

ในโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง โพลแต่ละสำนักจึงชี้ชัดว่า 9 ปีมานี้มากเกินพอสำหรับ “ระบอบ 3 ป.” หรือระบอบทหาร

“14 พฤษภาคม 2566” จะเป็นวันประชาชนพิพากษา!?!!