ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน
@Sue_Ching
Facebook.com/JitsupaChin
ติวเตอร์แบบใหม่
กวดวิชาได้ด้วย AI
การถกเถียงกันเรื่องปัญญาประดิษฐ์จะมาแย่งงานมนุษย์ไหม ไม่ใช่เรื่องใหม่
หลายปีที่ผ่านมามีการพูดคุยกันเรื่องนี้มาแล้วในทุกมิติ จนเราได้ข้อสรุปกันแล้วว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ล้วนมาเปลี่ยนรูปแบบอาชีพของมนุษย์มาแล้วในทุกยุคทุกสมัย
พอ ChatGPT มาถึง และยังมาถึงอย่างเหนือชั้น เก่งกาจเกินความคาดหมาย หัวข้อนี้ก็เลยถูกหยิบขึ้นมาพูดคุยกันใหม่อีกครั้ง
ถ้าคอมพิวเตอร์สามารถสนทนา โต้ตอบ ช่วยงานมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ อาชีพไหนบ้างที่จะอยู่ในรายชื่ออาชีพที่เสี่ยงตกงานในอีกปีสองปีข้างหน้า
ประกอบกับ ChatGPT เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ไม่ต้องมีทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ไม่ต้องมีงบฯ เยอะ เพียงแค่พิมพ์ภาษารู้เรื่องก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอัจฉริยะของมันแล้ว
ปัจจัยนี้ทำให้อาชีพที่ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงเพิ่มจำนวนขึ้น และเราก็พอจะมองเห็นได้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นอาจจะเกิดขึ้นเร็วจนตั้งรับแทบไม่ทันก็ได้
เว็บไซต์ The Washington Post พูดถึงบทบาทอีกอย่างของ ChatGPT ที่น่าสนใจมากทีเดียว นั่นก็คืออาชีพการเป็นครูติวหนังสือ หรือติวเตอร์กวดวิชา
แชตบ็อตที่มีชื่อว่า Khanmigo เป็นแชตบ็อตที่ใช้ขุมพลังของ ChatGPT โดยเกิดจากการพัฒนาร่วมกันระหว่าง OpenAI ซึ่งเป็นผู้สร้างโมเดล GPT-4 กับ Khan Academy สถาบันการศึกษาและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีชื่อเสียง
Khanmigo แตกต่างกับ ChatGPT คือมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ช่วยหาคำตอบให้ทันทีที่เราป้อนคำถาม หากเราพิมพ์โจทย์คณิตศาสตร์ให้ ChatGPT มันจะช่วยแก้โจทย์นั้นและให้คำตอบกลับมา แต่ Khanmigo ถูกโปรแกรมมาให้ทำหน้าที่เป็นติวเตอร์กวดวิชาที่จะค่อยๆ ชี้แนะวิธีการแก้โจทย์นั้นๆ เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจไปพร้อมๆ กัน
คุณครูใน Khan Lab School ที่มีสาขาใน Palo Alto และ Mountain View ทดลองนำ Khanmigo ไปใช้เป็นเครื่องมือช่วยสอน ซึ่งถ้าหากจะทำโปรเจ็กต์นำร่องให้ AI มาช่วยกวดวิชาให้เด็กก็คงไม่มีที่ไหนจะเหมาะไปกว่าการทดลองในย่าน Silicon Valley อีกแล้ว เพราะนี่เป็นย่านที่รุ่งเรืองด้านเทคโนโลยีและมีประชากรที่พร้อมจะขานรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ
ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนในเขตนี้ส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ทำงานให้กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ดังนั้นเด็กๆ ในโรงเรียนจึงเติบโตมาแบบใกล้ชิดกับเทคโนโลยี เรียนรู้การเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐานตั้งแต่เด็ก และคุ้นเคยกับปัญญาประดิษฐ์กันเป็นอย่างดี
เมื่อได้เห็นว่ามีการนำ Khanmigo มาทดลองเป็นติวเตอร์กวดวิชาทุกคนจึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ต้องหวาดกลัว แต่เปิดรับให้ทดลองได้เต็มที่ตราบใดที่มีการวางกรอบไว้ให้ Khanmigo และใส่ฟิลเตอร์ป้องกันถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กไว้แล้ว
ก่อนจะทดลองใช้ ครูต้องอธิบายให้เด็กๆ ได้รับทราบก่อนว่าครูจะได้เห็นทุกถ้อยคำที่เด็กเขียนโต้ตอบกับแชตบ็อต และหากเด็กเลือกใช้คำที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่น เขียนคำหยาบหรือคำที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ทั้งครูและผู้ปกครองก็จะได้รับการแจ้งเตือนทันที
ถึงจะเตือนไปแล้ว แต่ครูก็คาดหวังว่าน่าจะได้เห็นข้อความจากนักเรียนที่คึกคะนองไม่น้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้ครูประหลาดใจ เพราะนักเรียนชั้นประถมที่ได้ทดลองเรียนกับ Khanmigo ส่วนใหญ่เลือกถามความรู้ด้านคณิตศาสตร์เป็นหลัก ไม่มีคำถามออกนอกลู่นอกทางให้ต้องปวดหัว
และผลลัพธ์ที่น่าประทับใจก็คือ Khanmigo ทำให้นักเรียนกล้าถามคำถามมากขึ้นหากเทียบกับการให้ถามแบบพูดออกมาดังๆ ตามปกติ
นักเรียนสามารถกดถูกใจและไม่ถูกใจให้กับคำตอบที่ได้รับจาก Khanmigo และทีมนักพัฒนาก็จะนำไปปรับแต่งเพื่อให้ติวเตอร์ AI นี้เก่งขึ้นและตอบสนองได้ดีขึ้น เมื่อปรับจนพร้อมแล้วถึงจะนำไปใช้กับโรงเรียนอื่นๆ ทั่วประเทศ
สิ่งที่จะต้องคอยเฝ้าระวังก็ยังมีอีกหลายอย่าง การพูดคุยกับแชตบ็อตไม่ได้แปลว่าเราจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเที่ยงธรรมเสมอไป เพราะก็มีประเด็นเรื่องแชตบ็อตให้ข้อมูลผิด หรือข้อมูลที่ลำเอียงไปในทางใดทางหนึ่งอยู่เรื่อยๆ
แต่จากการทดลองใช้งาน Khanmigo ทางโรงเรียนก็บอกว่ายังไม่เจอปัญหาอะไร มีบ้างบางครั้งที่นักเรียนรู้สึกว่า Khanmigo ให้ข้อมูลเยอะเกินไปจนอ่านไม่หมด
แต่โดยรวมทุกคนก็คิดว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะสามารถพัฒนาให้เก่งกาจและกลมกล่อมกว่านี้ได้ไม่ยาก
นอกจากอาชีพครูและติวเตอร์กวดวิชาแล้ว ChatGPT ก็ยังก้าวขาเข้าไปแตะอีกหลายสาขาอาชีพ
มีคนตั้งข้อสังเกตว่าคนที่ทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาจะเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจาก ChatGPT และ GPT-4 มากที่สุด
ซึ่งเมื่อพูดแบบนี้ อาชีพแรกๆ ที่เราจะคิดถึงขึ้นมาก็คืออาชีพล่ามและนักแปล
แต่เว็บไซต์ MIT Technology Review ตั้งคำถามแหกกรอบไปอีกทางว่า ‘ทนายความ’ ก็เป็นอาชีพที่ต้องอยู่กับการใช้ภาษาเหมือนกัน
และน่าจะเป็นหนึ่งในอาชีพที่ ChatGPT จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงแน่ๆ
หากยังจำได้จากบทความคราวก่อน GPT-4 ที่เป็นขุมพลังของ ChatGPT ในเวอร์ชั่นใหม่เริ่มต้นด้วยการสอบบาร์ซึ่งเป็นข้อสอบมาตรฐานสำหรับทนายความผ่านฉลุย
แต่แค่นี้ก็อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะพูดว่า ChatGPT จะมาทำหน้าที่แทนทนายความได้
แม้จะยังว่าความแทนทนายความไม่ได้ แต่ในเมื่อสิ่งที่มันทำได้ดีการใช้ภาษาและการเขียน ChatGPT จึงน่าจะเข้ามาช่วยรับโหลดงานที่เป็นงานรูทีนซ้ำๆ แทนได้ อย่างการตรวจสอบเอกสาร การวิเคราะห์สัญญา หรือช่วยทำนายผลลัพธ์ของคดีความ
ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่มาพร้อม ChatGPT แต่ AI สามารถช่วยได้แล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ไม่ได้รับความนิยมและไม่ได้แพร่สะพัดในแวดวงกฎหมายเท่าที่ควร ดังนั้น การเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของ ChatGPT ก็อาจจะทำให้วงการนี้หันมาสนใจใช้งาน AI กันมากขึ้นก็ได้
ฉันคิดว่าเราทุกคนไม่ว่าจะประกอบอาชีพไหนน่าจะต้องเริ่มสำรวจการทำงานในแต่ละวันของตัวเองได้แล้วว่ามีงานรูทีนไหนที่เราสามารถ ‘เอาต์ซอร์ส’ หรือส่งต่อไปให้ AI อย่าง ChatGPT ทำแทนได้บ้าง ทุกอาชีพล้วนมีงานเอกสารหรืองานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาที่เราต้องทำซ้ำๆ และแสนจะเบื่อหน่าย ทำแบบแกนๆ ให้จบไปในแต่ละวัน
หากเรายกมันออกไปให้ AI ทำแทนได้ เราก็จะมีเวลาเหลือมากขึ้น มีเวลาให้ไปทำอย่างอื่นที่ท้าทายกว่านี้ หรือให้เราได้มีเวลาพักผ่อนใช้ชีวิตได้เต็มที่มากกว่านี้
กลับมาที่เรื่องติวเตอร์ AI ย้อนนึกถึงวัยเด็กที่ตัวฉันเองต้องกวดวิชาผ่านหน้าจอโทรทัศน์ที่เปิดเทปติวเตอร์ให้ทุกคนในห้องนั่งดูไปพร้อมๆ กันแบบไม่สนว่าใครจะตามทันหรือไม่ทัน ในตอนนั้นก็ว่าทันสมัยสุดๆ แล้ว ขยับมาเจอการติววิชาออนไลน์สมัยใหม่ก็ทึ่งไปแล้วหนึ่งรอบ
ตอนนี้มีติวเตอร์แบบ AI ยิ่งทำให้รู้สึกอิจฉาเด็กรุ่นใหม่มากขึ้นไปอีก
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022