ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | หลังลับแลมีอรุณรุ่ง |
ผู้เขียน | ธงทอง จันทรางศุ |
เผยแพร่ |
หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ
ในที่สุดก็มีการยุบสภาเกิดขึ้นจนได้
และสิ่งที่ติดตามมาคือเสียงปี่เสียงกลองของสนามเลือกตั้ง ที่มีความครึกครื้นตื่นเต้นและเป็นที่จับจ้องของผู้คนโดยทั่วไปรวมทั้งผมด้วย
ตามกระแสข่าวที่ปรากฏในสื่อสาธารณะทั้งหลาย ความสนใจของคนจำนวนไม่น้อยอยู่ตรงที่ว่า ผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ขั้วทางการเมืองขั้วไหนจะได้รับชัยชนะ
กล่าวให้พอเข้าใจได้ง่ายๆ ก็ต้องบอกขั้วที่หนึ่งคือพรรคการเมืองที่ร่วมกันเป็นรัฐบาลอยู่ในเวลานี้
ส่วนขั้วที่สองคือขั้วที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสองฝั่งนี้กำลังชิงไหวชิงพริบกันน่าดู
อีกไม่นานเกินรอ วันเลือกตั้งก็จะมาถึงแล้ว ตอนค่ำของวันที่ 14 พฤษภาคม เราคงพอได้รับทราบคะแนนเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการ
แต่กว่าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะรับรองผลอย่างเป็นทางการก็ต้องรออีกหลายขั้นตอน
เพราะอาจจะมีการแจกใบเหลืองใบเขียวใบแดงให้วุ่นวายไปหมด
และกว่าจะได้รับคำตอบสุดท้ายว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองแต่ละพรรคมีสุทธิเป็นอย่างไรบ้าง ก็คงตกเข้าไปกลางเดือนกรกฎาคมโน่น และกว่ารัฐบาลใหม่จะลงมือทำหน้าที่ได้จริงก็คงต้องเดือนสิงหาคมไปแล้ว
ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามีประเทศไหนอีกบ้างที่เขาจัดให้มีระบบเลือกตั้งมหัศจรรย์ได้ถึงปานนี้
ระหว่างที่อะไรต่อมิอะไรยังไม่ตกผลึก ผมตั้งคำถามกับตัวเองเป็นคำถามเฉพาะหน้าว่าในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็ดี ครั้งที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ดี ผมมีเกณฑ์หรือหลักคิดอย่างไรในการลงคะแนนเลือกตั้ง
เนื่องจากการเลือกตั้งคราวนี้มีบัตรสองใบ
ใบหนึ่งสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสำหรับเขตเลือกตั้ง
อีกใบหนึ่งเป็นบัตรเลือกตั้งของระบบปาร์ตี้ลิสต์
เพียงแค่นี้ก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจแล้วว่า เราควรลงคะแนนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบบเขตเลือกตั้งกับระบบปาร์ตี้ลิสต์เป็นพรรคเดียวกันหรือไม่
คำถามข้อนี้ตอบยากเป็นบ้า
เพราะถ้าคิดถึงทฤษฎีในทางการเมืองแล้ว การที่เราตัดสินใจมอบคะแนนและความไว้วางใจของเราให้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เราก็ควรวางใจสนิท โดยลงคะแนนเลือกผู้สมัครในเขตเลือกตั้งจากพรรคนั้นพร้อมกันกับที่เลือกผู้สมัครบัญชีรายชื่อจากพรรคเดียวกันด้วย คะแนนเลือกตั้งทั้งสองระบบจะได้สอดคล้องเป็นเหตุเป็นผลกัน
แต่ในชีวิตจริงบางครั้งเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีเสมอไป
ตัวแปรที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอาจจะลงคะแนนให้ผู้สมัครในระบบเขตเลือกตั้งเป็นผู้สมัครจากพรรคหนึ่ง
และลงคะแนนให้ระบบบัญชีปาร์ตี้ลิสต์จากอีกพรรคหนึ่งสามารถเกิดขึ้นได้
เพราะไม่มีข้อห้ามปรามไว้แต่อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในต่างจังหวัด เหตุผลที่ใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกบุคคลที่เสนอตัวเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบเขตมีเรื่องต้องคิดมาก และหลายเรื่องเป็นเรื่องใกล้ตัว
เช่น รู้จักมักคุ้นกันมานานแค่ไหน เขาเคยมาช่วยงานศพ งานแต่งงาน โกนจุก งานบวชนาคบ้านเราหรือไม่
เวลาน้ำท่วม ฝนแล้ง หรือขายพืชผลการเกษตรไม่ได้ เคยโผล่หน้าค่าตามาให้ปรับทุกข์บ้างหรือไม่ สารพัดเรื่องที่จะเป็นไปได้
เพราะความจริงคือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบเขตเลือกตั้งตามต่างจังหวัดนั้น ประชาชนคนทั้งหลายอาจจะไม่ได้นึกถึงการเข้าไปทำหน้าที่นิติบัญญัติเลยแม้แต่น้อย หากแต่เขาคิดว่าจะสามารถพึ่งพาอาศัยไหว้วานกันได้เพียงใดแค่ไหน
เรื่องอย่างนี้สำหรับผมซึ่งเป็นชาวกรุงย่อมมองไม่เห็นความสำคัญ เพราะชาวกรุงจำนวนไม่น้อยสามารถเข้าถึงบริการของรัฐ หรือสามารถมีปากมีเสียงแสดงตัวตนของตัวเองได้โดยไม่ต้องอาศัยปากหรือมือของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แต่สำหรับต่างจังหวัด ส.ส. แทบจะเป็นยาสามัญประจำบ้านเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น การตัดสินใจลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบเขตจึงอาจไม่มีความสัมพันธ์อย่างไรกับระบบปาร์ตี้ลิสต์
แล้วระบบปาร์ตี้ลิสต์เราดูอะไรเป็นเกณฑ์ได้บ้างเล่า
ตามความคิดของผมแล้วการที่ผมหรือใครก็ตามจะเลือกพรรคการเมืองใดเป็นพรรคการเมืองในดวงใจและมอบคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้ น่าจะเป็นส่วนผสมกันระหว่างข้อมูลสองสามอย่าง
อย่างแรก หนีไม่พ้นเรื่องนโยบายครับ เราคงต้องคำนึงถึงนโยบายที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคนำเสนอในเวทีรณรงค์เลือกตั้ง
แต่เอาเข้าจริงแล้ว นโยบายของพรรคการเมืองก็ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องเดียวเสียที่ไหน เสนอมาตั้งยี่สิบสามสิบข้อ มีความเป็นไปได้สูงครับที่เราอาจจะถูกใจบางข้อและไม่ถูกใจในบางข้อ
คราวนี้ก็ต้องเลือกดูโดยภาพรวมล่ะ ว่าตัวเราเองให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นพิเศษ แล้วก็ปักหมุดไม้เอานโยบายเรื่องนั้นเป็นหัวใจหลักของการตัดสินใจ
เช่น ถ้าเราให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจเหนือกว่านโยบายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เราก็ต้องเปรียบนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองทั้งหลายว่านโยบายของพรรคใดเข้าท่าที่สุด แม้เรื่องอื่นอาจจะอ่อนไปบ้าง ก็ต้องทำใจ แล้วตัดสินใจเลือกลงคะแนนให้พรรคใดพรรคหนึ่งที่มีนโยบายเศรษฐกิจถูกใจเรามากที่สุด
หรือถ้าเราให้ความสำคัญกับนโยบายในเรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องนโยบายทางการเมืองเป็นหลัก เรื่องการศึกษากว่าจะจัดอยู่ในแถวสอง ไม่ต้องนำมาเป็นตัวชี้ขาดร่วมกัน
นอกจากนโยบายของพรรคการเมืองแต่ละพรรคแล้ว บุคคลที่อยู่ในปาร์ตี้ลิสต์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่แต่ละพรรคการเมืองนำเสนออยู่ในบัญชีที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ก็มีความสำคัญยิ่งยวด
เพราะนโยบายเขียนให้ดีวิเศษเลิศหรูเพียงใด แต่พอเห็นหน้าตัวละครที่พรรคนำเสนอว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อขับเคลื่อนนโยบายแล้ว เราอยากจะกลั้นใจตายเสียในบัดนั้น
แบบนี้จะไปลงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้ทำไม
ประวัติและท่าทีบทบาททางการเมืองของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่ผ่านมาในอดีตก็มีความสำคัญใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ถ้ามองย้อนหลังไปแล้วพบว่าพรรคการเมืองบางพรรคมีประวัติที่ไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของการพลิกไปพลิกมาโดยขาดอุดมการ การมีส่วนสนับสนุนรัฐประหารมาแล้วในอดีตไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ฯลฯ
แบบนี้ก็ลงคะแนนให้ไม่ไหวเหมือนกัน
สำหรับผมแล้ว ในการเลือกลงคะแนนในระบบปาร์ตี้ลิสต์ ผมจึงนำตัวแปรทั้งสามอย่างมาผสมกลมเกลียวกันเข้าจนตกผลึก และเกิดคำตอบสุดท้ายที่จะทำให้ผมตัดสินใจไปลงคะแนนในวันที่ 14 พฤษภาคมอย่างไร
การใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีในคูหาเลือกตั้ง จึงไม่ใช่การตัดสินใจเฉพาะหน้า หากแต่เป็นการประมวลผลข้อมูลที่เราได้เก็บงำไว้ในสมองของเรามาช้านาน แล้วกลั่นออกมาเป็นคำตอบสุดท้าย เป็นโอกาสที่เราจะแสดงตัวตนของเราให้ปรากฏว่าเราประสงค์จะเลือกอนาคตของเราอย่างไร
แถมยังไม่ใช่อนาคตของเราโดยลำพังด้วย แต่เป็นอนาคตของประเทศ อนาคตของลูกหลานอีกกี่ชั่วคนก็ไม่รู้ที่จะเกิดมาในวันข้างหน้า
กลางเดือนพฤษภาคมพบกันที่หน่วยเลือกตั้งนะครับ
คันไม้คันมือมานานแล้ว ฮา!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022