คำมั่น ก.ตร.ผู้ทรงวุฒิ ‘จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตำรวจดีต้องมีที่ยืน’

สําหรับการเลือกตั้งคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิสาย ก. ที่มี 23 นายพลตำรวจลงสมัคร เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ที่มีการคัดเลือก เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ได้บังคับใช้เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 เป็นต้นมา

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศคะแนนแล้วว่า อันดับ 1 พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก อดีตรอง ผบ.ตร. อันดับ 2 พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตรอง ผบ.ตร. และอันดับ 3 พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรอง ผบ.ตร. ที่ได้สัมภาษณ์ถึงวิสัยทัศน์การทำหน้าที่ ก.ตร.ไปแล้วนั้น

มาทำความรู้จักผู้ที่ได้คะแนนอันดับ 1 พล.ต.อ.มนู ที่ได้ 4,652 คะแนน โดยเฉพาะ 4 หน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดเลือกตั้งที่สโมสรตำรวจ ผู้มาใช้สิทธิ์ต่างเทคะแนนให้ พล.ต.อ.มนู กว่า 1,500 คะแนน นำโด่งที่สุด เมื่อรวมคะแนนจากภาคอื่นๆ ที่คะแนนอยู่ในอันดับ 1, 2, 3 ทำให้เข้าวินด้วยคะแนนสูงสุด

พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก

พล.ต.อ.มนู เป็นคนเพชรบุรี บุคลิกที่คนคุ้นเคยรู้จักกันคือ มาดสุขุม ไม่ค่อยพูด ทำงานลูกเดียว เพราะฉะนั้น ทุกคำพูดแม้สั้น กระชับ แต่มีความชัดเจน ตามสไตล์

นายพลคนเมืองเพชร เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงทุกคะแนนที่เลือกมาว่า “ขอขอบคุณในความปรารถนาดีที่ให้มาเป็นตัวแทน จะทำให้ดีที่สุด ใช้ความรู้ความสามารถที่มี ทำหน้าที่ ก.ตร.ผู้ทรงวุฒิ ไม่ให้คนที่เลือกมาผิดหวัง ผมเป็นคนชอบทำมากกว่าพูด”

พล.ต.อ.มนูเล่าว่า “คะแนนที่เลือกผมมาเป็นตำรวจจากส่วนกลางก็เยอะ แต่ละภาคด้วย ผู้สมัครแต่ละคนที่ได้เลือกกันมาก็มีศักยภาพทุกคน”

เมื่อถามว่า ได้คะแนนอันดับ 1 มาเพราะอะไร เจ้าตัวตอบว่า “บุคลิกของผมอาจเป็นเรียบง่าย ใครจะปรึกษาพบได้หมด ผมช่วยตำรวจทุกคนโดยไม่มีข้อแม้ ไม่มีผลประโยชน์”

พล.ต.อ.มนูกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “จะตั้งใจทำงานช่วยเหลือตำรวจอย่างเต็มกำลังความสามารถ ให้ดีที่สุด ใช้ประสบการณ์ที่มีทำให้ตำรวจอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี สนับสนุนอุปกรณ์การทำงาน จัดระบบการแต่งตั้งโยกย้าย ตำรวจที่ดีจะต้องมีที่ยืน ถ้าทำได้ทั้งหมดนี้ตำรวจจะดีขึ้น และจะร่วมมือกับ ก.ตร.ที่มีตำแหน่ง ช่วยกันโดยอาศัยประสบการณ์ของผมเข้าไปช่วย”

สำหรับ พ.ร.บ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฉบับใหม่ ก.ตร.ผู้ทรงวุฒิสาย ก. คะแนนมาอันดับ 1 กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ ทำให้ตำรวจอยู่ในร่องในรอย โดยในส่วนของตนจะใช้ประสบการณ์ทำอย่างไรให้ตำรวจมีศักดิ์ศรี เป็นที่พึ่งประชาชนอย่างแท้จริง และจะร่วมแก้ปัญหาความขาดแคลน ทั้งอุปกรณ์ไม่พอ น้ำมันสายตรวจไม่มีเติม ทำให้รัฐบาลเห็นปัญหา

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์

ขณะที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 จำนวน 4,161 คะแนน กล่าวขอบคุณตำรวจทั้งหมดที่พร้อมใจออกมาเลือกตั้ง ทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิ์ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ได้มีส่วนสนับสนุน จะเลือกผู้สมัครคนใดก็ได้ เพราะทั้ง 23 คนมีสปิริตน่าชื่นชม เสียสละแม้เกษียณอายุราชการแล้วแต่ยังมีความสำนึกในหน้าที่

สำหรับผู้ใช้สิทธิ์แต่ละจังหวัดออกมาเลือกตั้งมีเปอร์เซ็นต์ที่ดีมาก น่าเหลือเชื่อ ใช้สิทธิ์ 100% หลายจังหวัด บางจังหวัด 97% บ้าง 98% บ้าง ถือว่าผิดคาด มีความตื่นตัวกับการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปครั้งประวัติศาสตร์ เป็นเสียงที่บริสุทธิ์น่าชื่นชม เป็นการเปลี่ยนแปลงกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นคนผลักดันการปฏิรูปตำรวจจนสำเร็จ

เมื่อถามว่าเหตุผลที่มาสมัคร ก.ตร.ผู้ทรงวุฒิสาย ก. พล.ต.อ.เอกกล่าวว่า ด้วยความสำนึกว่าเป็นหน้าที่เป็นสำคัญ เพราะเคยทำงานบริหารงานบุคคลของตำรวจ เคยเป็นเลขานุการคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ, ทำหน้าที่เลขานุการ ก.ตร. และเป็น ก.ตร.โดยตำแหน่งหลายปี มีประสบการณ์ที่สำคัญได้เป็นคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจถึงสองครั้ง ครั้งแรกรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และต่อมารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

หลังจากปีสุดท้ายของการรับราชการกษียณตำแหน่งปลัดสำนักนายกฯ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ เห็นกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ

ประสบการณ์ที่เคยผ่านทุกหน้างาน โดยเฉพาะช่วงท้ายชีวิตราชการได้สัมผัสงานบริหาร จึงมั่นใจว่ามีความรู้ความเข้าใจ มีประสบการณ์ที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้จึงอาสา

 

สําหรับความมุ่งหวังที่จะทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจดีขึ้นนั้น พล.ต.อ.เอกบอกว่า ต้องเอาเรื่องจริงมาพูดกันก่อน สภาพปัญหาและบริบทสังคมที่เห็นคงไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตำรวจ ในส่วนบทบาท ก.ตร.มีขอบเขตเฉพาะในเรื่องของการบริหารงานบุคคล การแต่งตั้งโยกย้าย พัฒนาคุณภาพตำรวจ

“หลักการง่ายๆ คือถ้าแต่งตั้งคนดี มีความรู้ ความสามารถ ไม่มีการแทรกแซง ไร้การครอบงำ มีการบริหารจัดการเป็นระบบโดยผู้บังคับบัญชา คือถ้าได้ผู้บังคับบัญชาดีทุกอย่างดีหมด ในส่วน ก.ตร.ผู้ทรงวุฒิที่ตำรวจเลือกมา ทุกคนต้องพยายามทำหน้าที่ปกป้องดูแลการแต่งตั้งโยกย้ายให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์และมีความเป็นธรรม” อดีตรอง ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.เอกกล่าวอีกว่า พ.ร.บ.สำนักงานตำรวจชาติฉบับใหม่ บางส่วนดีมากๆ เน้นหลักธรรมาภิบาล วางระเบียบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ซื่อสัตย์ โปร่งใส สุจริต เป็นธรรม ตรวจสอบได้ ถ้าไม่เป็นธรรมมีบทลงโทษอย่างชัดเจน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มี ถ้าแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม อย่างเก่งเยียวยาย้ายกลับ แต่ พ.ร.บ.ปัจจุบัน ถ้าแต่งตั้งไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เจตนาจงใจเพื่อช่วยเหลือมีโทษ

 

อดีตรอง ผบ.ตร.ยังเล่าอีกว่า ได้พบสมาคมพนักงานสอบสวน พวกเขารู้สึกว่าเป็นตำรวจชั้นสอง จะเห็นว่าตอนนี้ตำรวจหนีกันหมด ไม่อยากเป็นพนักงานสอบสวน ทั้งๆ ที่เป็นหัวใจงานตำรวจ เพราะงานหนักไม่เจริญก้าวหน้า

เดิมมีแท่งตำแหน่งพนักงานสอบสวนให้เลื่อนไหลแต่กลับยุบแท่งนั้น ทำให้ไม่เลื่อนไหล มีเงินประจำตำแหน่งน้อยกว่าพนักงานสอบสวนกระทรวงยุติธรรม ทั้งที่งานสอบสวนเหมือนกัน

ที่สำคัญงานพนักงานสอบสวนตำรวจทำงานหนัก วันนี้เข้าเวร พรุ่งนี้ไปศาล มะรืนสอบพยาน คืองานเหนื่อยมาก แล้วไม่เติบโต เงินประจำตำแหน่งไม่มี ทั้งที่ไม่ว่าอยู่กรมไหน กระทรวงไหน ต้องเทียบระดับให้ได้เท่ากัน เลยหนีไปอยู่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจไซเบอร์ (กองบัญชาตำรวจสืบสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.)) เพราะงานพนักงานสอบสวนหนัก

“ฉะนั้น ผมจะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดในทุกเรื่อง ในส่วนพนักงานสอบสวนกฎหมายเขียนแล้วผมจะไปสนับสนุนส่งเสริมตรงนั้น” พล.ต.อ.เอกยืนยัน

หลังจากได้สดับตรับฟัง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิสาย ก. ที่มาจากการเลือกตั้งของตำรวจกันเอง หลายคนรู้สึกมีความหวังเหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์