ทำไมไม่จับมือกันต้านเผด็จการ? | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ในที่สุดคุณทักษิณ ชินวัตร ก็โจมตีคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคก้าวไกลว่าคล้ายประชาธิปัตย์เพราะวิจารณ์พรรคเพื่อไทย

และถ้าคำนึงว่า “ประชาธิปัตย์” คือพรรคที่คนเสื้อแดงเกลียดยิ่งกว่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ คำวิจารณ์นี้ก็คือบอกคนเสื้อแดงว่าอย่าไปฟังธนาธรและพรรคก้าวไกลเลย

ไม่มีใครรู้ว่าคุณทักษิณหมายความถึงคำพูดของคุณธนาธรตอนไหนและอย่างไร

แต่ถ้าอ้างจากที่สื่อจำนวนมากระบุ คุณธนาธรให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวฝีมือดีอย่างคุณไอซ์ หรือ “ปรัชญา นงนุช” ว่าไม่เห็นด้วยที่พรรคการเมืองแข่งกันดูด ส.ส.ย้ายค่ายเปลี่ยนจุดยืนจนก้าวไกลจะไม่ทำแบบนี้เลย

คุณธนาธรวิจารณ์เพื่อไทยจริงหรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง

วิจารณ์เพื่อไทยเท่ากับเป็น ปชป.หรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง

และก้าวไกลเหมือน ปชป.จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งด้วย

แต่ที่แน่ๆ ธนาธรถูกตัดสิทธิทางการเมือง, อนาคตใหม่ถูกยุบ และก้าวไกลถูกโจมตีเรื่อง 112 ซึ่งทั้งหมดไม่เคยเกิดกับ ปชป.แม้แต่ครั้งเดียว

ก่อนที่คุณทักษิณจะโจมตีคุณธนาธรและพรรคก้าวไกล อดีต ส.ส.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ก็ปราศรัยโจมตีเพื่อไทยว่าเลือกแล้วไม่รู้จะดึงใครมาร่วมรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ยอมให้ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามาดำเนินคดีรัฐบาลที่ฆ่าคนเสื้อแดงปี 2553 จนทำให้เอาผิดทหารและรัฐมนตรีฆาตกรไม่ได้เลย

 

แน่นอนว่าการสร้างคะแนนให้พรรคโดยวิธีโจมตีคู่แข่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา

แต่พรรคส่วนใหญ่มักโจมตีเพื่อให้เห็นความเหนือกว่าด้านนโยบาย, บุคคล หรือผลงาน

ขณะที่คุณทักษิณและคุณอมรัตน์ด่ากันไปมาด้วยเรื่อง “จุดยืน” ซึ่งเท่ากับต่างฝ่ายต่างกล่าวหาอีกพรรคโกหกจนยากที่จะมองหน้ากัน

ไม่มีทางรู้ว่าการโจมตีแบบนี้จะทำพรรคไหนคะแนนมากขึ้น, น้อยลง หรืออาจไม่ส่งผลเลย

แต่ที่แน่ๆ ปรากฏการณ์ด่ากันไปมาแบบนี้แทบไม่เกิดในพรรครัฐบาล

ต่อให้ทุกพรรคจะมีฐานเสียงทับกันจนต้องแย่งคะแนนเสียงกันอย่างรวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์, พลังประชารัฐ และภูมิใจไทย

ล่าสุด คุณอนุทิน ชาญวีรกูล, คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ และคุณธนกร วังบุญคงชนะ พูดกันแล้วถึงโอกาสที่ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติจะกลับมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันอีก

รวมทั้งย้ำว่าพรรคฝ่ายรัฐบาลไม่มีความขัดแย้ง ถึงจะมีปัญหาไม่ลงรอยกันบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติของการทำงานร่วมกันนานขนาด 4 ปี

เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้คือ “การปรับตัวทางยุทธศาสตร์” ที่เกิดขึ้นขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมั่นใจในชัยชนะถึงขั้นพูดถึงการตั้งรัฐบาลพรรคเดียวแบบไทยรักไทยทำหลังดูดพรรคอื่นจนได้ ส.ส.ถึง 377 ในการเลือกตั้ง 2548

ซึ่งเท่ากับเป็นยุทธศาสตร์เพื่อสู้กับแผนรัฐบาลพรรคเดียวของอีกฝ่ายโดยตรง

 

แน่นอนว่าคุณประยุทธ์มั่นใจในชัยชนะจนลงนามประหารชีวิตตัวเองโดยเซ็นยุบสภา

แต่ความจริงคือคุณประยุทธ์และพรรคไม่เคยมีคะแนนนิยมอันดับหนึ่งในโพลทุกค่าย ต่อให้โพลที่ถูกมองว่าเป็นโพลอวยรัฐบาลก็ไม่เคยมีโพลไหนเลยที่บอกว่าคุณประยุทธ์และพรรคคืออันดับหนึ่งทุกกรณี

จุดแข็งของพรรคคุณประยุทธ์คือการไล่ดูด ส.ส.จากประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐแบบเดียวกับที่พลังประชารัฐในปี 2562 ทำกับประชาธิปัตย์และเพื่อไทย แต่ขณะที่พลังประชารัฐรอบที่แล้วไล่ดูด ส.ส.จากสองพรรคใหญ่เป็นกลุ่มเป็นก้อน พรรคคุณประยุทธ์กลับได้ ส.ส.รายหัวแบบดาวกระจาย

สำหรับนักการเมืองกลุ่ม “บ้านใหญ่” และผู้มีอิทธิพลที่พรรคคุณประยุทธ์ใช้เป็นอาวุธลับในการสู้ศึก ส.ส.ระดับเขต ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยที่ดูดบ้านใหญ่อย่าง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” และทายาทกำนันเป๊าะทำให้ “บ้านใหญ่” ฝ่ายคุณประยุทธ์ถูกกดดันจนเคลื่อนไหวได้ยากกว่าเดิม

เชื่อกันว่าเพื่อไทยใช้ “สมศักดิ์” ชนกับ “เสธ.หิ” ของคุณประยุทธ์ และ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ของคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ขณะที่ใช้ “ตระกูลคุณปลื้ม” ชนกับ “สุชาติ ชมกลิ่น” ซึ่งเท่ากับกดดันให้ฝ่ายคุณประยุทธ์อยู่ในพื้นที่จนไม่สามารถเคลื่อนไหวสนับสนุนผู้สมัครของพรรคภาคเหนือและภาคตะวันตกอย่างที่ต้องการ

เดายากว่าศึกบ้านใหญ่ของเพื่อไทยกับรวมไทยสร้างชาติจะจบด้วยชัยชนะของใคร

แต่ที่แน่ๆ คือเพื่อไทยทำลายเกมบ้านใหญ่ของคุณประยุทธ์ได้

จะยกเว้นบ้างก็ที่ภาคใต้ซึ่งเพื่อไทยไม่เคยมี ส.ส.ตั้งแต่ไทยรักไทย บ้านใหญ่จึงทำให้คุณประยุทธ์ชนะได้แม้แต่ประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

 

จริงอยู่ว่าคุณประยุทธ์และพรรคมีความนิยมเป็นอันดับ 3 ในโพลที่ถูกยอมรับในปี 2566 ว่าเป็นกลาง แต่คนที่ได้อันดับ 1 เท่านั้นที่มีความหมายในการเลือกตั้งระดับเขต ความนิยมต่อคุณประยุทธ์และพรรคจึงอาจไม่ช่วยให้ผู้สมัครคนไหนพลิกจากแพ้เป็นชนะ อย่างดีที่สุดคือตรึงไม่ให้แพ้เท่านั้นเอง

คุณธนกรเปิดเผยว่าพรรคตัวเองดูดอดีต ส.ส.จากพรรคอื่นมาแล้ว 40 คน ซึ่งถ้าหากถือว่าการเลือกตั้งทุกครั้งจะมี ส.ส.เก่าสอบตกราว 30% ก็เท่ากับพรรคคุณประยุทธ์จะมีโอกาสได้ ส.ส.เขตเต็มที่ก็แค่ 28 ซึ่งน้อยกว่าประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเกือบ 1 เท่าตัว

คุณประยุทธ์เป็นคนที่มีคะแนนนิยมสูงสุดของพรรคก็จริง แต่คุณประยุทธ์ยากจะช่วยให้ “กระแส” พรรคพุ่งจนได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น เพราะกติกาเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้คะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อหนึ่งคนเท่ากับ 355,561 ถ้าอิงตามการเลือกตั้ง 2562 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายต่อพรรคคุณประยุทธ์เลย

พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งก่อน 17,793,324 หรือ 50.03% ของผู้ลงคะแนนทั้งหมด 35,561,556 คน นั่นเท่ากับ ส.ส.บัญชีรายชื่อสูงสุดที่พรรคคุณประยุทธ์จะได้ในการเลือกตั้งปีนี้คือ 50 หากผู้ลงคะแนนพรรครัฐบาลทั้งหมดเลือกพรรคคุณประยุทธ์พรรคเดียว

แน่นอนว่าสูตรลงคะแนนนี้หลุดโลกจนไม่มีทางเกิดขึ้น ต่อให้สื่อสายเลียนายสายคุณประยุทธ์จะพูดเรื่อง “เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์” แต่ก็ไม่มีทางที่คนเลือกภูมิใจไทย, ประชาธิปัตย์, ชาติไทยพัฒนา ฯลฯ จะไปเลือกพรรคคุณประยุทธ์ และไม่มีทางที่พรรคเหล่านั้นจะหาเสียงให้พรรคคุณประยุทธ์เลย

พรรคเดียวที่คุณประยุทธ์มีโอกาสแย่งคะแนนคือพรรคคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งลงเลือกตั้ง 2562 แล้วปิดกิจการ แต่พรรคคุณสุเทพมีคนเลือกเพียง 415,585 ซึ่งเท่ากับจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อครั้งนี้เพียง 1 คน หรือไม่ก็คือพรรคคุณประยุทธ์แย่งคะแนนจากคนเคยเลือกพลังประชารัฐซึ่งก็จะได้ ส.ส.ราว 23 คน

 

พรรคคุณประยุทธ์ไม่มีสิทธิเป็นพรรคอันดับ 1 แม้แต่ในฝั่งรัฐบาลด้วยกัน โอกาสเดียวที่คุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ คือใช้ ส.ว.บีบพรรครัฐบาลอื่นให้โหวตคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่นั่นเท่ากับ ส.ว.ทุกคนต้องเลือกคุณประยุทธ์ และพรรครัฐบาลอื่นต้องได้ ส.ส.ไล่เลี่ยกับปี 2562 ซึ่งยากเหลือเกิน

คนการเมืองทุกคนรู้ว่าภูมิใจไทยจะเป็นพรรคใหญ่ที่สุดของฝ่ายรัฐบาลในการเลือกตั้งปี 2566 และต่อให้คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับสื่อจะโจมตีภูมิใจไทย แต่กระแสไม่น่ามีผลต่อจำนวน ส.ส.จนคุณอนุทินประเมินว่ารอบนี้พรรคน่าจะได้ ส.ส.มากกว่ารอบที่แล้วจากนโยบายต่างๆ ที่พรรคทำมา

ตัวเลข ส.ส.ที่คุณอนุทินตั้งเป้าไว้คือ 100 จากจำนวน ส.ส.เก่าที่อยู่กับพรรค 75 แต่เป้านี้ยากเพราะ ส.ส.เก่าหลายคนของภูมิใจไทยเป็น “งูเห่า” ที่เกาะเท้าธนาธรเข้าสภาในปี 2562 ซึ่งแทบไม่มีโอกาสที่ประชาชนจะเลือกในปี 2566 แต่ก็ไม่ได้ล้มล้างความจริงว่าภูมิใจไทยเป็นพรรคใหญ่สุดของฝั่งรัฐบาล

ด้วยการบุกหารือกับคุณประวิตรโดยบอกตรงๆ ว่าไปคุยการเมือง คุณอนุทินและภูมิใจไทยเปิดเกมเป็นพันธมิตรกับคุณประวิตรเพื่อเลือกนายกฯ หลังเลือกตั้งปี 2566 ซึ่งหมายถึงเป็นพันธมิตรกับ ส.ว.ที่เชื่อมโยงกับคุณประวิตร

และนั่นเท่ากับบีบให้คุณประยุทธ์ต้องพึ่งคุณอนุทินมากขึ้นด้วยทันที

 

พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าหลังเดือนพฤษภาคม 2566 จะได้เข้าทำเนียบตั้งรัฐบาล และคนในพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคจะได้ ส.ส.เท่าที่ไทยรักไทยได้ 377 ในการเลือกตั้ง 2548 ซึ่งพรรคความหวังใหม่และพรรคอื่นๆ ยุบพรรคมารวมกับไทยรักไทยจนจำนวน ส.ส.กระฉูดขั้นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลไม่ได้เลย

ภายใต้ความร้อนแรงของพรรคเพื่อไทยขั้นรอตั้งรัฐบาลพรรคเดียว การจับมือของพรรครัฐบาลได้ก่อตัวเพื่อรักษาอำนาจไว้แล้ว

และถึงจะยังไม่มีวี่แววว่าพรรครัฐบาลจะได้ ส.ส.มากกว่า 250 หรือครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ แต่การใช้ ส.ว.โหวตนายกฯ เพื่อตั้งรัฐบาลจากฝ่ายนั้นจะเกิดขึ้นแน่นอน

ไม่ว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะจบแบบเพื่อไทยชนะขนาดไหนก็ตาม โอกาสที่การตั้งรัฐบาลจะเป็นไปอย่างราบรื่นยังไม่ใช่เรื่องง่าย

และยิ่งไม่มีทางเกิดได้เลยหากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยช่วงชิงชัยชนะด้วยการทำสงครามน้ำลายมากกว่ามีภาพใหญ่เรื่องยุทธศาสตร์ร่วมกันแบบฝ่ายรัฐบาล