20 ปี หลังสหรัฐบุกอิรัก กับ “ชีวิตใหม่” บนเส้นทางแห่งความหวัง

Photo by AHMAD AL-RUBAYE / AFP

ผ่านพ้นไป 20 ปี สำหรับการบุกโจมตีอิรัก ของสหรัฐอเมริกา ที่ก่อให้เกิดเกิดสงคราม และความรุนแรงต่อเนื่องเรื่อยมา จนทำให้อิรักตกอยู่ในสภาพสงครามกลางเมืองอย่างยาวนาน

แต่ตอนนี้ กรุงแบกแดด เมืองหลวงอิรักเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หนุ่มสาวชาวอิรักอยู่ในชุดกางเกางยีนส์ รองเท้าผ้าใบ เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ริมแม่น้ำไทกริส

บ่งชี้ให้เห็นถึงโลกที่ห่างไกลจากความหวาดกลัว หลังการบุกอิรักของสหรัฐเมื่อ 20 ปีก่อน

ผู้คนในกรุงแบกแดด อยู่กันอย่างมีความสงบสุขที่หาได้ยาก ในช่วงประวัติศาสตร์ยุคใหม่อันแสนเจ็บปวด

ขณะที่ชายหนุ่มพากันขับรถยนต์ ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกที่ครั้งหนึ่งเคยมีแต่ระเบิด

 

จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อ 20 ปีก่อน เรียกการบุกอิรักที่นำโดยสหรัฐ ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2003 ว่า เป็นปฏิบัติการเพื่อปลดปล่อยชาวอิรัก ขับไล่รัฐบาลของซัดดัม ฮุสเซน เผด็จการที่ปกครองผู้คน 20 ล้านคนด้วยความหวาดกลัวมานานกว่า 20 ปี

แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นการทำลายความเป็นเอกภาพของรัฐ ใจกลางโลกอาหรับด้วย โดยมีชาวอิรักราว 300,000 คน ที่ถูกสังหารในช่วงปี 2003-2023 นอกจากนี้ ช่วงเวลาเดียวกันก็ยังมีทั้งทหาร ผู้รับเหมา และพลเรือนของสหรัฐ กว่า 8,000 คน ที่ต้องจบชีวิตลงจากสงครามและความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยมาในอิรัก

อย่างไรก็ตาม ราวครึ่งหนึ่งของประชากรในปัจจุบัน ยังโตไม่พอที่จะจดจำชีวิตภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซน ได้ จากการสัมภาษณ์ชาวอิรักรุ่นใหม่ ตั้งแต่ในกรุงแบกแดด จนถึงเมืองฟัลลูจาห์ พบว่า วัยรุ่นหนุ่มสาวเหล่านี้ ต่างรู้สึกเสียดายกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น หลังจากซัดดัมถูกโค่นอำนาจลง

แต่หลายคนก็มีความหวังเกี่ยวกับเสรีภาพและโอกาสที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

 

จอห์น เดนิสซีวสกี และเจโรม ดีเลย์ สองนักข่าวจากสำนักข่าวเอพี เคยอยู่ในกรุงแบกแดดเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่สหรัฐเริ่มการทิ้งระเบิดถล่มอิรัก และเขาทั้งสองกลับมาที่แบกแดดอีกครั้ง เพื่อรายงานว่า ตอนนี้อิรักเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่

ประธานาธิบดีอับดุล ลาติฟ ราชิด ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นำอิรักเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้บอกกับผู้สื่อข่าวของเอพี ถึงโอกาสที่สว่างไสวของอิรัก หลังจากอิรักต้องตกอยู่ในสภาวะแช่แข็งมานานเนื่องจากสงคราม และว่า ตอนนี้ความมั่งคั่ง และสันติสุข ได้กลับคืนสู่อิรักแล้ว

และว่า หากคนหนุ่มสาวมีความอดทนสักนิด ตนก็คิดว่า ชีวิตในอิรักจะดีขึ้นอย่างมาก

ซาฟา ราชิด นักเขียนวัย 26 ปี ได้พูดคุยกับนักการเมืองและเพื่อนฝูงจำนวนมาก ที่คอฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่งในย่านคาราดา ในกรุงแบกแดด โดยราชิดบอกว่า หลังการบุกอิรักของสหรัฐ อิรักก็แตกสลาย มีแต่ความรุนแรงเข้าครอบงำ

แต่วันนี้มันต่างออกไป เขาและเพื่อนร่วมงานมีใจเดียวกัน พูดคุยเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ และคิดว่าคนหนุ่มสาวพยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้

ขณะที่นัวร์ อัลฮูดา ซาอัด อายุ 26 ปี ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก และยังเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง บอกว่า คนรุ่นเดียวกับเธอได้กลายเป็นผู้นำการประท้วง ที่ประณามการคอร์รัปชั่น และเรียกร้องบริการต่างๆ รวมถึงแสวงหาการเลือกตั้งแบบครอบคลุม

และคนเหล่านี้จะไม่หยุดจนกว่าจะสร้างให้อิรักดีขึ้น

 

ตัดภาพมาที่เมืองฟัลลูจาห์ หนึ่งในเมืองที่ตกอยู่ภายใต้สภาวะสงครามมานาน และเต็มไปด้วยร่องรอยของความเสียหาย

ตอนนี้เต็มไปด้วยอพาร์ตเมนต์ โรงพยาบาล สวนสนุก ที่สำหรับเดินเล่น แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ปล่อยให้ผู้สื่อข่าวจากตะวันตกเดินไปไหนมาไหนโดยไม่มีการคุ้มกัน ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ยังมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอยู่

แต่ชาวบ้านก็มีความสุขกับการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่

ดร.ฮูตีฟา อลิสซาวี ผู้นำมัสยิด บอกว่า “เราสูญเสียมามาก ทั้งครอบครัว” แต่ตอนนี้เขามีความสุขดีกับการรักษาความปลอดภัย และถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ต่อไป ก็จะสมบูรณ์มาก

เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนในประเทศอิรัก ที่กำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ในบ้านเกิดของตัวเอง หลังต้องเจอกับมรสุมหนักมานานนับสิบปี

(COMBO) This combination of pictures created on March 20, 2023 shows
the dome and minaret of the Seventeen Ramadan Mosque in Baghdad’s landmark Fardous square (L) on same the date with a picture taken 20 years earlier on April 9, 2003 showing an Iraqi man hanging a rope around a statue of Iraqi former president Saddam Hussein at the same spot before it was brought down following his fall as a result of the US-led invasion of Iraq three weeks earlier. – TV footage beamed around the world on April 9, 2003 showed US Marines toppling a giant statue of Saddam, after the fall of the Iraqi dictator. (Photo by AHMAD AL-RUBAYE and Patrick BAZ / AFP)