74ปี ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ ชวน ‘ทักษิณ’กลับไทย ย้ำความรู้สึกดีๆ ที่ไม่เปลี่ยนกับ ‘ลุงตู่’

หลายวันก่อนคณะผู้บริหารของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นำโดย ‘ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง’ ผู้อำนวยการ วช. พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิ เดินทางไปยังวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริหาร เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน การยกระดับศักยภาพชุมชนเกาะสมุยด้วยวิจัยและนวัตกรรม โดยสนับสนุนการนำ BCG Economy Model เป็นทิศทางสำคัญในการสร้าง BCG Farming

ภายใต้โครงการ ‘การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาน้ำจืดเพื่อการส่งเสริมเศรษฐกิจและสร้างอาชีพผ่านกระบวนการผลิตกุนเชียงปลาดุกไขมันต่ำในบรรจุภัณฑ์แบบสุญญากาศ’ ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ และ ‘ศูนย์ BCG ต้นแบบเพื่อการสร้างชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน’ ดำเนินโครงการโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก วช.

‘มติชนสุดสัปดาห์’ สนทนากับ ‘นายสุเทพ’ หลายเรื่อง

ทั้งในเรื่องการจัดการศึกษาของที่นี่ ที่มีความโดดเด่นมาก เพราะเด็กที่มาเรียนระดับ ปวช.-ปวส. เข้าเรียนฟรี แถมมีเสื้อผ้า อาหารและที่พักให้เสร็จสรรพ แถมบางคนยังมีเงินเก็บก้อนโตอีกด้วย จากการรับงานที่วิทยาลัยจัดสรรมาให้ทำ นักศึกษาจะได้เรียนภาษาอังกฤษ-จีน จากเจ้าของภาษาโดยตรง จุดเน้นสำคัญคือเด็กทุกคนต้องทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน

สอบถามเด็กหลายคนต่างตอบตรงกันว่าเป็นกิจกรรมที่ดี ทำให้มีสติและมีสมาธิในการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเด็กๆ เรียกประธานกรรมการบริหารผู้นี้ว่า ‘ลุงสุเทพ’

ก่อนคุยกัน อดีตแกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) บอกความในใจว่า ไม่อยากคุยเรื่องการเมือง แต่เมื่ออธิบายเหตุผลให้ฟังว่า บรรดาคอการเมืองคงสาปแช่งนักข่าวเป็นแน่แท้ สุดท้ายเจ้าตัวเลยยินยอม

นายสุเทพเกริ่นว่า ปัจจุบันในทางการเมืองไม่มีตำแหน่งอะไรเลย เพราะเมื่อตอนนำเดินขบวนต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม ต่อต้านระบอบทักษิณ ต่อต้านการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมต่างๆ ของรัฐบาล มีประชาชนมาร่วมเป็นล้านคน ได้บอกไปแล้วว่า ไม่ต้องการเดินขบวนเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และได้ประกาศว่าจะไม่ลงรับสมัครรับเลือกตั้ง ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้ว ตนก็รักษาคำพูดนั้น

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งก็เป็นห่วงบ้านเมือง มีความคิดว่าในอนาคตประเทศไทยต้องมีพรรคการเมือง ที่เป็นพรรคการเมืองของประชาชน โดยประชาชนเพื่อประชาชน ประเทศถึงจะไปรอด จึงทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งคราวที่แล้วเลือกตั้ง ส.ส. ได้มา 5 คน ได้ไปเป็นรัฐมนตรีแรงงาน ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ทำประโยชน์ให้ประเทศมาก

วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ปกติของการเมือง แต่ตนก็ยังทำหน้าที่เป็นสมาชิกของพรรครวมพลังประชาชาติไทยอยู่ และเป็นที่ปรึกษา ไม่ได้ไปร่วมเป็นกรรมการบริหาร หรือหัวหน้าพรรค

: ในการเลือกตั้ง ส.ส.เร็วๆ นี้ คิดว่าพรรคนี้จะได้ ส.ส.มากหรือน้อยกว่าเดิม

ที่จริงผมไม่ค่อยติดยึด ได้มากได้น้อย อาจได้ 5-6 คน หรือไม่ได้เลยสักคนเดียว แต่ที่ผมติดใจคือ อุดมการณ์ต้องดำรงอยู่ เป็นพรรคการเมืองของประชาชนจริงๆ ทำเพื่อประชาชนจริงๆ โดยการกำกับควบคุมของประชาชนจริงๆ อันนั้นสำคัญกว่า ความเป็นพรรคเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ ไม่เป็นไร เรื่องของความเป็นผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองต้องสืบทอด ต้องหาทางช่วยกันสนับสนุนคนดีๆ ให้เข้ามาทำงานการเมือง ให้เข้ามาช่วยกันสร้างคนดีๆ ให้เป็นบุคลากรทางการเมือง

: มองอย่างไร ตอนนี้มี 2 กระแสในสังคม ฝ่ายหนึ่งหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนนตรีต่อ กับอีกฝ่ายต่อต้าน

ผมสังเกตก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ละคนนานาจิตตัง มีเป้าหมาย มีความคิดเป็นคนตัวเอง ผมเองยังพิจารณาอยู่ว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่น่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เพื่อให้มาทำหน้าที่เป็นนายกฯ อีกรอบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องแล้วแต่ประชาชนทั้งประเทศจะคิดอย่างไร

ส่วนตัวผม พล.อ.ประยุทธ์น่าจะคะแนนนำดีกว่าคนอื่นๆ ในขณะนี้ เพียงแต่พรรคที่ไปสังกัดอาจดูใหม่หน่อย อาจต้องใช้เวลา แต่ถ้าคิดย้อนกลับไป เขามาเป็นนายกฯ มาหลายปีแล้ว ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองไว้มาก โดยเฉพาะเรื่องที่ผมให้ความนิยมยกย่องมาก คือ เป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้าที่จะวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศเป็นระบบ

สิ่งที่โดดเด่นที่สุด ซึ่งคนไม่ค่อยพูดกัน คือ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) อันนี้ผมให้คะแนนมาก

ผมนึกไปถึงตอนที่ผมเข้ามาเป็นนักการเมืองใหม่ๆ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนนตรีสมัยนั้น ทำโครงการ Eastern Seaboard โครงการ EEC ของ พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนกับการต่อยอดโครงการ Eastern Seaboard ของ พล.อ.เปรม

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบคือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศที่เรียกว่า เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG เป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ

คนมองว่าเขาเป็นการทหาร เขามองเศรษฐกิจของประเทศไม่ครบ แต่ผมคิดว่าเขาได้ทำอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ของความเป็นผู้นำ อันนี้ในมุมมองของผม ส่วนคนอื่นจะมองอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง

ที่ผมชอบใจอย่างก็คือ รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษาฟรี 12 ปีให้ประชาชน นี่คนไม่ได้สังเกต พล.อ.ประยุทธ์ให้การศึกษาฟรี 15 ปี ทำเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดอีก อันนี้ผมคิดว่าเก่ง อย่างนี้ก็ถือว่าใช้ได้ ผู้นำประเทศ

เรื่องที่จะต้องให้คะแนนอีกเรื่องคือ การพัฒนาปัจจัยพื้นฐานของประเทศ ทำรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟใต้ดิน รถไฟลอยฟ้าในกรุงเทพฯ เป็นพื้นฐานรองรับการขยายตัว ความเจริญเติบโตของกรุงเทพฯ และประเทศไทยในอนาคต

: ที่ผ่านมามองเห็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์มาตลอด ครั้งนี้ก็ยังเห็นเหมือนเดิม

“ต้องบอกตรงๆ ว่าผมชอบเขา ผมเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ตอนนั้นเขายังเป็นแค่เสนาธิการกองทัพบก ได้ร่วมงานกันมา ที่ชอบเพราะเขาซื่อสัตย์สุจริต เขาจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จริงจัง ดูสิเขาเป็นนายกฯ มาเจ็ดแปดปี ไม่เคยมีชื่อเสียงเสียหายเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น บ้านเขาไม่รับแขก ไม่เปิดประตูหลังบ้าน อย่างนี้ผมว่าเขาดี แต่ว่าคนอยู่นานๆ คนอาจเบื่อบ้างเป็นธรรมดา แต่ผมก็ชอบ ผมไม่มีอะไรผูกพันเขา ผมเดินขบวนเสร็จผมกลับบ้าน ตั้งรัฐบาลกันผมก็ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ทุกวันนี้เจอหน้ากันเขาก็ทักทายสวัสดีธรรมดา”

: ถ้าให้คะแนนเป็นเปอร์เซ็นต์

“ผมให้ 99% หรือ 100 เลยก็ได้ เพราะผมเปรียบเทียบกับคนอื่น คนอื่นถ้ามาเป็นนายกฯ ผมกลัวว่าจะพาความยุ่งยาก ความวุ่นวายมาให้ประเทศ ไม่ได้อยากไปวิจารณ์ใคร แต่ว่าบางคนผมดูเค้าแล้วน่ากังวลใจ เพราะฉะนั้น ผมอาจจะเป็นพวกอนุรักษ์ และเห็นว่าคนเดิมอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ใช้ได้อยู่ ถ้าเขาทำต่อไปก็น่าจะช่วยวางรากฐานความเจริญรุ่งเรืองของประเทศได้ดี แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าเขาเป็นแล้วก็อยู่ได้แค่ครึ่งสมัยของ 4 ปี คือ 2 ปี แต่ผมคิดว่า 2 ปีน่าจะทำอะไรได้เยอะ ถ้าเรื่องที่เขาทำไว้มันต่อยอดได้”

: ในแง่การเมืองห่วงอะไรมากที่สุด

ในฐานะเป็นคนแก่คนหนึ่ง ไม่ห่วงอะไรแล้ว ต้องฝากประเทศไว้กับประชาชน ต้องไว้ใจประชาชน เชื่อใจประชาชนว่าคนส่วนใหญ่เขาต้องคงคิดถูก ตัดสินใจถูก แต่เราคิดเท่านั้น นี่คือหลักประชาธิปไตย แล้วผมก็บวชเรียนมาแล้ว บวชสวนโมกข์ ศิษย์สวนโมกข์ ผมปลงได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำหน้าที่ตามภาระความรับผิดชอบของแต่ละคนให้ดี ไม่ต้องไปกังวลใจ

อายุย่างเข้า 74 ปีแล้วตอนนี้ที่ทำอยู่ ที่ตั้งเป้าหมายไว้มากที่สุดคือการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ โดยเฉพาะการศึกษาในระดับอาชีวะ อันนี้เป็นเรื่องที่ผมทุ่มเททำงานมาก

: ช่วงนี้หลายพรรคการเมืองลงพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ครองเสียงภาคใต้ จะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรไหม

ไม่ใช่แค่ที่ภาคใต้ การเมืองก็เปลี่ยนแปลงทุกพื้นที่ ต้องนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าอนิจจัง คนมียศก็เสื่อมยศได้ คนที่มีลาภก็เสื่อมลาภได้ ต้องทำใจ ประชาธิปัตย์จะมาบอกว่าฉันผูกขาดภาคใต้มา ภาคใต้เป็นของฉัน มันไม่ใช่ วันเวลาเปลี่ยนไป ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเขาก็มีคิดเปลี่ยนไปเหมือนกัน เหมือนที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าฉันผูกขาดภาคอีสาน มันก็ไม่แน่ อย่างนี้เป็นต้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป วันนี้ผมคิดว่าคนไทยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีความคิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดมันพัฒนาไปเรื่อยๆ

: ผลพวงจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง มีคดีอะไรค้างอยู่บ้าง

อันนี้เป็นเรื่องที่ผมทำใจได้ ชีวิตเป็นนักการเมืองของผมเกือบ 40 ปีเจอมาเยอะ เราทุ่มเทเล่นการเมืองเต็มแรง แล้วก็มีผลสะท้อนมามาก

ยกตัวอย่างการออกมาเป็นผู้นำเดินขบวนครั้งใหญ่ สิ่งที่ตามมาคือคดีความ ผมยังได้พูดเตือนน้องๆ ว่าใครที่จะเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ ในสังคม ต้องคิดว่าตอนเดินขบวนอยู่อบอุ่นมาก เพื่อนมาเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน

แต่ตอนสู้คดี นี่เหงามาก ยิ่งตอนติดคุกเหงาที่สุด ผมโดนมาแล้ว เพราะเหตุมานำเดินขบวน ศาลชั้นต้นพิพากษาโทษจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์จะนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 21 มีนาคมนี้ ถ้าศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น หมายความว่าผมต้องเตรียมตัวติดคุก 5 ปี ผมก็ต้องประกันตัวแล้วสู้คดีศาลฎีกา ซึ่งมีเวลาประมาณปีครึ่ง ถึงตอนนั้นปี 2567-2568 กลางๆ ปีก็รู้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร แต่ผมทำใจได้ เพราะสิ่งที่ผมเจออยู่เป็นผลจากงานที่ผมมุ่งหวังตั้งใจทำให้ชาติบ้านเมือง ฉะนั้น จะติดคุกติดตะรางก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร ผมก็มีคดีนี้อยู่

ส่วนคดีที่พยายามกลั่นแกล้งผม หาว่าผมทุจริตเรื่องก่อสร้างสถานีตำรวจหรือโรงพัก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพาษามาแล้วว่าผมบริสุทธิ์ ไม่ได้มีความผิด แต่ตอนนี้ ป.ป.ช.อุทธรณ์ ผมเพิ่งเขียนแก้อุทธรณ์ไป ผมไม่ได้กังวลใจเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด

: คิดอย่างไรประเด็นที่มีข่าว ‘นายทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัญมนตรี จะกลับไทย

“ควรจะกลับมาอย่างยิ่ง เพราะคุณทักษิณถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ถ้าเดินทางกลับมาประเทศไทยก็เข้าคุกเลย แล้วไปรับโทษตามที่ศาลพิพากษา ทักษิณอายุเท่าผม 74 ปี อ่อนกว่าผม 19 วัน เพราะฉะนั้น ถ้าไปติดคุก ไม่กี่ปีก็ออกแล้ว แต่นี่อย่างว่าเป็นมหาเศรษฐีทำใจไม่ได้ ติดคุกวันเดียวก็ไม่ยอม ไอ้จะกลับมาเฉยๆ โดยไม่ติดคุกมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นเอาคำพิพากษาศาลไปไว้ที่ไหน เอากฎหมายไปไว้ที่ไหน เอากระบวนการยุติธรรมไปไว้ที่ไหน ไม่มีใครห้ามไม่ให้คุณทักษิณกลับบ้าน ผมบอกกลับมาเลย จริงๆ ผมอยากบอกคุณทักษิณว่าผมติดคุกมาแล้ว สิ่งที่ผมเจอไม่ได้ถึงขนาดว่าทนไม่ได้ ทักษิณจะไปกลัวอะไร”

“มาสิ เผลอๆ ติดคุกพร้อมๆ กัน”