มหา’ลัยสะเทือน อาจารย์ช้อปปิ้งงานวิจัย

หลังมีดราม่า อาจารย์ช้อปปิ้งงานวิจัย ที่ทำเอาหลายมหาวิทยาลัยต้องสะเทือน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีชื่ออาจารย์ในสังกัดเข้าไปเกี่ยวข้องกับการซื้องานวิจัย ถึงขั้นต้องสแกนอาจารย์ที่มีงานวิจัยเป็นรายบุคคล

ขณะที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีหนังสือคำสั่งให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งตรวจสอบอาจารย์ในสังกัด หากพบอาจารย์ หรือนักวิจัยในสังกัดเข้าข่ายทำผิดทางจรรยาบรรณ ให้รายงานข้อมูลมาให้ อว.รับทราบ

ล่าสุด นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดมอว. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีมหาวิทยาลัยรายงานข้อมูลมา 34 แห่ง และในจำนวนนี้มี 33 ราย ใน 8 มหาวิทยาลัยที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายซื้องานวิจัย อีกทั้งยังได้รับแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมในช่องทางอื่น รวมทั้งการสืบค้นจากฐานข้อมูลภายใน มีบุคคลที่เข้าข่ายอีกว่า 100 ราย

สำหรับ 8 มหาวิทยาลัยที่มีอาจารย์หรือนักวิจัยมีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดจรรยาบรรณ ดังนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง (มร.)

โดยนายศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว. กล่าวย้ำว่า อว.จะเดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เบื้องต้นมหาวิทยาลัยที่ตรวจสอบพบว่ามีอาจารย์เข้าข่ายกระทำผิดจรรยาบรรณ แต่ละแห่งมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว หากพบว่ามีมูลและได้กระทำผิดจรรยาบรรณจริง ก็จะต้องลงโทษตามระเบียบของมหาวิทยาลัย และรายงานให้ อว.รับทราบ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

“เรื่องนี้มีความผิด เป็นคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.การอุดมศึกษา พ.ศ.2562 มาตรา 70 ที่ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการรักษามาตรฐานการอุดมศึกษา หลักธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจริตทางวิชาการ ห้ามมิให้ผู้ใดจ้าง วาน ใช้ให้ผู้อื่นทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือเพื่อไปใช้ในการทำผลงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขอตำแหน่งทางวิชาการ หรือเสนอขอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะหรือการให้ได้รับเงินเดือนหรือเงินอื่นในระดับที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีประโยชน์ตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้ผู้ใดรับจ้างหรือรับดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เพื่อให้ผู้อื่นนำผลงานนั้นไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือโดยสุจริตตามสมควร และมาตรา 77 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 70 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” รองปลัด อว.กล่าว

ขณะที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อทั้ง 8 แห่ง ต่างออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจในการแก้ไขปัญหา

อย่างเช่น รศ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ตรวจสอบพบความผิดปกติ ระบุว่า เรื่องนี้ถือเป็นการสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของสังคมที่มีต่อมหาวิทยาลัย ในส่วนของมหาวิทยาลัยทักษิณเอง ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจสถานะการตีพิมพ์ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ พบความผิดปกติ 1 ราย และได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการที่กฎหมายกำหนดต่อไปแล้ว

ขณะที่ ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวคล้ายกันว่า ม.อ. มีบุคลากรต้องสงสัยตีพิมพ์งานวิจัยผิดปกติ 12 ราย โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ว 7 ราย หากไม่สามารถชี้แจงผลงานวิจัยดังกล่าวได้ หรือไม่มีเหตุผลเพียงพอ จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยต่อไป

ด้าน รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) บอกเช่นเดียวกันว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังมีข่าวการซื้อขายงานวิจัย ได้ตรวจสอบทันที จากการตรวจสอบพบอาจารย์เข้าข่ายกระทำความผิด 8 ราย และได้ส่งรายชื่ออาจารย์ทั้ง 8 รายให้ อว.รับทราบแล้ว และ มข.ได้รายงานให้ที่ประชุม สภา มข.รับทราบ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบวินัย เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งการตรวจสอบเรื่องนี้ต้องใช้เวลา และต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะต้องให้โอกาสอาจารย์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดมาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วย

เรื่องการซื้อขายงานวิจัยนั้น ต้องมองไปข้างหน้า โดยวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมถึงเกิดการซื้อขายงานวิจัยขึ้น และต้องลงลึกไปที่รากของปัญหา ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวมาจากการสร้างแรงจูงใจให้อาจารย์มหาวิทยาลัยผลิตผลงานวิจัย ซึ่งถือเป็นดาบสองคม เพราะทำให้ผู้ที่คิดไม่ดี จะปลอมแปลงงานวิจัย เพื่อนำมาเบิกค่าตีพิมพ์ หรือนำงานวิจัยนั้นมาขอรางวัล ประกอบกับปัจจุบัน อว.ออกหลักเกณฑ์วิธีการได้ตำแหน่งทางวิชาการรูปแบบใหม่ ที่ดูผลงานวิจัยเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจที่ทำให้อาจารย์ หรือนักวิจัยหลงผิด ไปซื้องานวิจัย

“สิ่งที่เราควรหันกลับมาดู คือจะสร้างแรงจูงใจให้อาจารย์แบบไหน ให้เกิดความสมดุล มีความเหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดความโลภ และขั้นตอนการตรวจสอบควรจะต้องละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการให้รางวัลต่างๆ ซึ่งในวันนี้มีการประชุมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่ มช. ซึ่งจะมีวาระพิจารณาเรื่องวิธีการป้องกันเชิงระบบ เพื่อไม่ให้เกิดการซื้อขายงานวิจัยขึ้น โดยที่ประชุมเสนอหลายวิธีการ เช่น การตีพิมพ์งานวิจัยด้านการแพทย์ บรรณาธิการวารสารด้านการแพทย์ทั่วโลกตกลงกันว่า ถ้าต้องการตีพิมพ์วารสารทางการแพทย์ โดยเฉพาะงานวิจัยที่เป็นการทดลอง จะต้องลงทะเบียนก่อน หากไม่ลงทะเบียน จะตีพิมพ์งานวิจัยไม่ได้ หากนำวิธีการนี้มาใช้ในสายสังคมศาสตร์ สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจทำให้การปลอมแปลงงานวิจัยเกิดขึ้นน้อยลง เป็นต้น” รศ.นพ.ชาญชัยกล่าว

ปิดท้ายที่ รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ทปอ.มทร.) 9 ราชมงคลได้มีการติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูล เบื้องต้นไม่พบอาจารย์ในสังกัดมีพฤติกรรมทำความผิดในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กรณีนี้กระทบต่อวงการวิชาการอย่างมาก และเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเพื่อยืนยันความสุจริตของทั้ง 9 มทร. ที่ประชุม ทปอ.มทร.จึงได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ไม่ยอมรับการกระทำผิดต่อจริยธรรมและจรรยาบรรณการวิจัย และจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าบุคลากรของ มทร.มีการกระทำผิดต่อจรรยาบรรณดังกล่าว จะมีการลงโทษอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีการช่วยเหลือกัน

จากนี้คงต้องจับตาดูว่า อว. และมหาวิทยาลัยต่างๆ จะมีท่าทีแก้ปัญหาที่ชัดเจนขึ้นหรือไม่ เพราะหากยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะมาตรการลงโทษนักวิจัยแกะดำที่เด็ดขาดกว่านี้

คงเป็นเรื่องยากที่จะกอบกู้ความน่าเชื่อถือของนักวิจัย และอาจารย์มหาวิทยาลัยไทยกลับมา •

 

| การศึกษา