“ฮุน เซน- ฮุน มาแนต” ความกดดันของพ่อ ที่เป็นนายกฯ นานสุดในโลก และไม่ยอมลงจากตำแหน่ง

อภิญญา ตะวันออก

ในฐานะที่เกิดมาเป็นบุตรชายคนโตของสมเด็จพ่อฮุน เซน ผู้นำตลอดกาลกัมพูชา ใครเลยจะคิดว่า คนอย่างฮุน มาแนต ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายพลตั้งแต่ยังไม่แตะสามสิบ และมีความพรั่งพร้อมทุกด้านในความอิสรชน (เขมรแปลว่านักการเมือง) เขาจะประสบชะตากรรมเยี่ยงนี้?

นั่นคือ ยืนอยู่บนความหนาวยะเยือกอย่างเหลือเชื่อ?

สารภาพ ฉันน่ะเห็นฮุน มาแนต มาตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่มน้อยในท่าทีขี้อาย ซึ่งลูกสาวฮุน เซน และลูกชายทุกคนไม่นิยมออกสื่อมาตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ แต่เมื่อรับตำแหน่งคีย์แมนสำคัญๆ อันเป็นไปตามความต้องการของบิดา 20 ปีผ่านไป ฮุน มาแนต ก็ฉายแววผู้ทรงอิทธิพลตามเงาของฮุน เซน

ผู้ที่กำลังวางแผนลงเล่นการเมืองในการเลือกตั้งครั้งที่ 7 ซึ่งคูณด้วย 5 เท่ากับ 35 ปีพอดี!

ให้ตายเถอะ ใครจะไปนึกว่า ฮุน มาแนต จะได้ชื่อว่าเป็นลูกนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก!

ส่วนตนก็เหี่ยวแห้งรอไปอีก 5 ปีจนเข้าอายุเลข 5 ซึ่งพ่อบอกว่ายังรอได้ ขอให้ลูกสะสมบารมีทางการเมืองอีกต่อไป ฮุน มาแนต จึงมาไกลได้ที่สุดก็รอบนี้แตะใกล้เป็นแคนดิเดตว่าที่นายกรัฐมนตรี ณ ปี 2023 เพราะไม่ใช่อะไร แต่ยังมีวิบากกรรม!

กล่าวเกิด ถือกำเนิดลูกชายฮุน เซน นั้นสุดแสนจะลำบาก ต่อความที่มาตรฐานสูงมากของบิดาที่กดทับความกดดันมาแต่ยังเด็ก

ฮุน มาแนต เป็นตัวอย่างของความกดดันนั้น โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่เขาต้องไปให้สุดกว่าทุกคน ใช่แต่พี่น้อง แต่เป็นทุกคนในกัมพูชา

ดังนั้น การสำเร็จนักเรียนนายร้อยเวสต์ปอยต์ที่สหรัฐ ตามเป้าหมายของบิดาที่กำหนดไว้จึงไม่พอ

ฮุน มาแนต ข้ามไปเรียนต่อปริญญาโทด้านเศรษฐกิจที่อังกฤษ เขาพบรักกับภรรยาที่นั่นและยืนยันแต่งงานกับสตรีที่ตนหมายปอง และเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้านกฎของครอบครัว ขณะที่พี่น้องทุกคนถูก “คลุมถุงชน!”

เป็น-เชื้อไม่ทิ้งแถว-ลูกไม้ที่ใต้ต้น-เป็นลมที่กระพือปีกให้บิดา ทั้งหมดที่ร่ายมา เห็นได้จากฮุน มาแนต ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ นอกจากนี้ ลูกชายทั้งหมด 3 คนในตระกูลฮุน ต่างมีบุคลิกความสัมพันธ์ต่อกันเยี่ยงนักการทูต

ลำดับความสำคัญอย่างเป็นทางการที่ว่านี้ นอกจากจะมีต่อบิดาอย่างเคร่งครัด ไม่เว้นแม้แต่ในยามที่บิดาอยู่ในชุดเสื้อกล้ามตราห่านและนั่งอยู่หัวโต๊ะกินข้าว ราวกับเหมือนง่าย แต่เด็กๆ ตระกูลฮุนทุกคน หลังตรงพร้อมทุกเวลาในการทำความเคารพต่อบิดา!

เรื่องแบบนี้ใช่มีแต่ในหมู่ชาวราชสำนัก แต่สำหรับตระกูลฮุนแล้ว สมเด็จฮุน เซน ได้ฝึกทายาทมาเช่นนี้ ทั้งต่อหน้า ลับหลังหมู่ชน พ่อลูกต่างมีจังหวะซึ่งกันและกันอย่างเป็นทางการ

แต่นั่นแหละ ตระกูลไหนก็มีจุดอ่อน แม้เด็กๆ ตระกูลฮุนนั้น จะถูกฝึกฝนมาอย่างดี กระนั้นการอยู่ในเขตเซฟโซนมายาวนาน แต่สำหรับฮุน มาแนต แล้ว ประสบการณ์ของเขาร่วม 2 ทศวรรษในกองทัพ ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาพ้นใต้เงาบิดาไปได้

ตัวอย่าง จนป่านนี้ ฮุน มาแนต ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากคนในพรรคประชาชนกัมพูชา นั่นหมายความว่า เขายังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการตราบใดที่บิดาของเขายังไม่ยอมลงจากตำแหน่ง การเป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” กัมพูชาคนต่อไป ย่อมไม่เกิดขึ้น

แต่ใครล่ะ? จะกระซิบบอกฮุน เซน ให้ทำเช่นนั้นได้?

แม้แต่เมียรักบุนรานี ที่เธอถึงกับก่อสร้างเจดีย์ยักษ์ไว้สำหรับรอบรรจุอัฐิธาตุของสามีเมื่อถึงคราวอาสัญ แต่อนิจจา ฮุน เซน สามีก็ยังไม่มีทีท่าจะลงจากตำแหน่งและจ่อจะลงแข่งอีกสมัยหนึ่ง!

“สงสารก็แต่ฮุน มาแนต” ประโยคที่คุณหญิงแม่มักพร่ำบ่น (แม้คนที่เธอสงสารกว่านั้นคือ ฮุน มานี ก็เถอะ) เห็นได้ชัดว่า สามีของนางหวงแหนอำนาจสูงสุดนี้มิวาย และแม้แต่เลือดในอก เขาก็ยังลังเลที่จะเสียสละ

ด้วยเหตุนั้น สมาชิกถาวรในพรรค จึงยังไม่พร้อมรับรองฮุน มาแนต คงปล่อยให้เป็นเรื่องของพ่อบงการลูกไปอีก 1 สมัย ก็เพราะ “บารมีไม่ถึง…คงไปต่อไม่ได้!” สมเด็จ ฮุน เซน ถึงกับป่าวประกาศไว้ และถ้าหมายถึงลูกชายของตน ฮุน มาแนต ก็คงวืด!

ก็ขนาดลูกของตนยังโดนข่มปานนี้ ประสาอะไรกับศัตรูฝ่ายค้าน จะย่อยยับสักปานใด? มันอาจมีที่มาจากปัญหาฮุน มาแนต และน้องชาย ที่บัดนี้ได้กลายซากโคลนนิ่งของบิดาไปแล้ว พวกเขามีภาพลักษณ์ภายนอกประดุจฮุน เซน2 และฮุน เซน3 อย่างที่ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำไป

ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฮุน มาแนต ในภาคผู้นำคนต่อไป?

ตลอดมา ความรู้สึกที่เชื่อกันว่า ผู้นำกัมพูชาได้ปกป้องฮุน มาแนต อย่างกรณีพิเศษเรื่อยมา และฮุน มาแนต นั้นก็น่าเห็นใจที่ตกเป็นเหยื่อแห่งการโจมตีสารพัด เช่น “ไอ้ลูกศัตรู”, “ไอ้คนญวน” และอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่สะเทือนใจ

แต่ฮุน มาแนต ก็ต่อสู้เรื่อยมา โดยที่ไม่มีข้อบกพร่องอื่นนั้น ในที่สุดเมื่ออิทธิพลพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามค่อยลดลงไป การปลดแอกตนเองก็ตามมา แต่เหมือนฝันร้าย พลันเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามไป พรรคใหม่ก็เข้ามาและเป็นพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ยิ่งใหญ่กว่า ผูกโยงนโยบายอย่างแนบแน่นของบิดา

มันคือบริบทของการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ มีแต่พรรคประชาชนกัมพูชาพรรคเดียวในประเทศ ซึ่งเมื่อแกะเนื้อในดูแล้ว นี่คือพรรคสังคมประเจียประนิต (คอมมิวนิสต์) มาแต่ต้น

ตั้งแต่การเข้าพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทฤษฎีสมคบคิดของบิดาฮุนที่ถูกจับตาว่า กำลังแปลงประเทศกัมพูชาให้เป็นสาขาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งที่ 2 และหลังจากทัศนกิจครั้งล่า ฮุน เซน ก็กลับมากัมพูชาด้วยบทเฉพาะกาล คือ ปิดสื่ออิสระในประเทศ “วิทยุเสียงประชาธิปไตย” (VOD) สื่อตะวันตกสำนักสุดท้ายที่ตีแผ่ระบอบฮุนเซนอย่างไม่ไว้หน้า โดยปมสาเหตุการปิดนั้นก็มาจากกรณีฮุน มาแนต

ถูกแล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ฮุน มาแนต ไปอนุมัติลงนามในความช่วยเหลือตุรกีแผ่นดินไหว จนถูกสื่อแห่งนี้นำไปตีข่าว ถูกกล่าวหาว่าให้ร้ายผู้นำประเทศ และถูกกระทรวงข่าวสารริบคืนใบอนุญาตวิชาชีพ

นับเป็นความไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัดสำหรับกัมพูชาที่กำลังจัดการเลือกตั้งในอีก 5 เดือนข้างหน้า หรือว่า นี่คือหมากกลที่ถูกเตรียมไว้เพื่อทำลายสำนักข่าวแห่งนี้?

ฮุน เซน ถึงกับใช้ลูกชายของตนเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูเลยเทียวหรือ?

เพียงเพื่อกำราบฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่คำนึงถึงใคร และไม่ว่าลูกชายของตนจะมีที่ยืนต่อไปหรือไม่ในประเทศนี้ นี่แหละคือจริตฮุน เซน ดังเป็นที่รู้กันมา

ความจริงที่พวกเด็กๆ ตระกูลฮุนทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ และตอนนี้ พวกเขาเองก็สวมบทบาทนั้นอย่างรู้เท่าทันหรือไม่? ในเมื่อเกิดเป็นลูกชายนายธนูผู้ขมัง ก็ย่อมเหนี่ยวน้าวคันธนูต่อศัตรูนั่นเอง!

อย่างที่เริ่มสังเกตเห็นว่า บัดนี้ ฮุน มาแนต เองก็เริ่มมีหลักเหลี่ยมเยี่ยงบิดา

“เหมือนพ่อ เหมือนลูก” ไม่มากไม่น้อย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ติดมา ในที่สุดลูกชายบุรุษผู้แข็งกร้าว ฮุน มาแนต ก็เรียนรู้คุณสมบัติพิเศษ เทียบเท่าบิดา

มันคงสายไปแล้ว ฮุน มาแนต มันคงสายไปแล้วจริงๆ สำหรับการเดินหน้าประชาธิปไตยในกัมพูชา

และฮุน มาแนต คนเก่าที่เรารู้จัก