ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน รสนิยม ของ ลิ่มเซียนยี้ เบื้องหน้า ‘อีเข่า’

บทความพิเศษ

 

ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน

รสนิยม ของ ลิ่มเซียนยี้

เบื้องหน้า ‘อีเข่า’

 

กลยุทธ์ของ “โกวเล้ง” เหมือนจะแยบยล เหมือนจะซับซ้อนและซ่อนเงื่อน แต่ก็จำเพาะแต่กับอาฮุยอันได้ชื่อว่าเป็น “ทารกแห่งบู๊ลิ้ม” เท่านั้น

แต่กับ “ผู้อ่าน” กลับมิใช่

นั่นเห็นได้จาก หลังจากสะท้อนภาพอาฮุยลูบผมนางเบาๆ กล่าวเสียงนุ่มนวล “ท่านรอคอยได้ข้าพเจ้าไฉนไม่อาจรอคอย วันเวลาภายภาคหน้าของพวกเรายังยาวนานอย่างยิ่ง”

นั่นเห็นได้จากที่ ลิ้มเซียนยี้ “ลอบ” แย้มยิ้มแล้ว

นั่นเห็นได้จากที่ อาฮุยอุ้มนางขึ้นวางเบาๆ ไปบนเตียง คลี่ผ้าห่มให้นาง ในความรู้สึกนึกคิดของอาฮุย นางเป็นภาพจำลองของเทพธิดาที่ทั้งสวยงาม ทั้งบริสุทธิ์ นางได้กลายเป็นเทพธิดาประจำใจของอาฮุยไปแล้ว

ฉะนั้น เมื่ออาฮุยออกจากห้องไป ลิ่มเซียนยี้ที่นอนบนเตียง “ยังคงลอบหัวร่ออยู่” สามารถพิชิตบุรุษหนุ่มได้ นับเป็นเรื่องที่บันดาลให้ผู้คนร่าเริงเป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อตัดไปอีกฉากทัศน์หนึ่ง “ภาพ” ของลิ่มเซียนยี้ก็แปรเปลี่ยน

มิได้เป็นการแปรเปลี่ยนจากมุมของ “อาฮุย” หากแต่แปรเปลี่ยนภายใต้ความรับรู้ของพวกเรา พวกท่านอันเหมือนกับเสมอนอก

เพียงภาพที่ปรากฏก็ฉาย “เรื่องราว” จนแทบหมดสิ้น

 

ทันใด หน้าต่างห้องถูกเปิดออก ลมหนาวพัดกรูเข้ามา ลิ้มเซียนยี้ลุกขึ้นนั่ง ถามโพล่งว่า “ผู้ใด”

คำพูดเมื่อเปล่งจากปาก ก็พบเห็นใบหน้าใบหนึ่ง ใบหน้าที่สะท้อนประกายสีเขียวซีด ในม่านวิกาลดูไปคล้ายภูตร้ายก็มิปาน

วิกาลคล้อยดึก สรรพสิ่งเงียบสงบ

พลันปรากฏบุคคลเช่นนี้ขึ้นที่นอกหน้าต่าง ต่อให้เป็นบุรุษที่ขวัญกล้าแข็งเกรงว่าต้องแตกตื่นจนขวัญวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง

แต่ลิ้มเซียนยี้ล้มตัวลงนอนอีกครา

ทั้งไม่ส่งเสียงอุทานและไม่แตกตื่นจนสิ้นสติ เพียงมองดูคนผู้นี้อย่างสงบ สีหน้าถึงกับปราศจากแววหวาดหวั่นพรั่นพรึง

คนผู้นี้ก็มองดูนาง ดวงตาทั้งคู่คล้ายไฟปีศาจ 2 จุด

ลิ้มเซียนยี้กลับยิ้มออกมา กล่าวเสียงเนิบนาบว่า “ท่านเมื่อมาแล้ว ไฉนไม่เข้ามา”

เพิ่งขาดคำ คนผู้นี้ก็มาถึงหน้าเตียงของนาง

รูปร่างของคนผู้นี้สูงจนน่ากลัว ใบหน้ายาวยิ่ง ลำคอก็ยาวยิ่ง แต่บนลำคอพันผ้าขาวชิ้นหนึ่ง ทำให้ตลอดทั้งร่างของมันกลายเป็นแข็งทื่อคล้ายผีดิบตนหนึ่ง แต่ความเคลื่อนไหวของคนผู้นี้ทั้งคล่องแคล่วทั้งปราดเปรียว

ไม่ว่าผู้ใดก็ดูไม่ออกว่ามันพุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามาได้อย่างไร

 

เหตุใดจึงว่า ต่อหน้า “คนอ่าน” ต่อหน้า “สังคม” กลวิธีของ “โกวเล้ง” เปิดเผยคลี่แบออกมาอย่างเป็นเปลาะเป็นปล้อง

1 ไม่เพียงแต่ยืนยันความสัมพันธ์กับ “คนผู้นี้”

หากแต่ 1 แต่ละคำพูดอันมันสนทนาบอกกล่าวกับ “คนผู้นี้” ยืนยันความนัยที่เคยเป็นปริศนาในความรับรู้ของลี้คิมฮวงออกมาจนหมดสิ้น

ทั้งหมดได้กลายเป็น “คำตอบ”

เพียงมองดูที่ลำคอของมันลิ้มเซียนยี้ก็ระบุบอก “ท่านรับบาดเจ็บ” และก็รู้ด้วยว่า “เป็นลี้ชิ้มฮัวทำร้ายท่าน”

ทั้งราดเกลือลงไปบนบาดแผล

“ข้าพเจ้าความจริงเข้าใจว่าท่านสามารถฆ่าลี้ชิ้มฮัว มิคาดท่านกลับถูกมันทำร้าย” เมื่อประสบเข้ากับคำถาม “ท่านทราบได้อย่างไรว่าเราคิดฆ่ามัน”

คำตอบคือ “เพราะลี้ชิ้มฮัวฆ่าคูต๊ก คูต๊กกลับเป็นลูกชู้ของท่าน”

นางยิ้มอย่างเฉื่อยชา กล่าวสืบต่อ “ท่านคงประหลาดใจข้าพเจ้าไฉนล่วงรู้เรื่องนี้ ซึ่งความจริงเหตุผลรวบรัดยิ่ง อสูรเขียวอีเข่าไม่รับศิษย์มาก่อน แต่คูต๊กไม่เพียงได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝีมือของท่านยังได้รับมืออสูรเขียวข้างหนึ่ง”

ทั้งหมดจึงโยงจากกรณี “คนในอาภรณ์เขียว” มากระทั่งการตายของคูต๊กใกล้กับดงดอกเหมยครบถ้วนกระบวนความ

ต่อสายยาวจากที่ลี้ชิ้มฮัวประสบไม่ว่าในห้องครัว ไม่ว่าในตึกเมฆเรืองโรจน์

 

คนผู้นี้ย่อมเป็น หัตถ์อสูรเขียว อีเข่า ตาที่คล้ายไฟปีศาจของอีเข่าเบิ่งมองแน่วนิ่ง จนครู่หนึ่งจึงเน้นทีละคำ

“เราก็รู้จักท่าน?”

ลิ้มเซียนยี้แย้มยิ้ม กล่าว “อ้อ นับเป็นเกียรติที่ภูมิใจจริงๆ”

“ตอนคูค๊กใกล้จะตาย แชม้อชิ่วหายไปแล้ว” เป็นคำถามจากอีเข่า

“หายไปจริงๆ” เป็นการยืนยัน

“มันมอบแชม้อชิ่วแก่ท่าน” เป็นคำถามจากอีเข่า

“คล้ายดั่งใช่” เป็นอีกการยืนยัน

“หากมันมิได้มอบแชม้อชิ่วแก่ท่าน ไหนเลยจะตายในฝีมือลี้คิมฮวงได้” เป็นเหมือนกับความเชื่อมั่น

ได้ยินดังนั้นลิ่มเซียนยี้แย้มยิ้มกล่าว

“ท่านมิได้มอบแชม้อชิ่วให้ข้าพเจ้า แต่กลับเป็นอันตรายในฝีมือลี้คิมฮวง ใช่หรือไม่”

นี่ย่อมเป็นการท้าทาย ทั้งยังเป็นการท้าทายที่ตระหนักรู้อยู่เป็นอย่างดีว่าผลตอบแทนจะดำเนินไปอย่างไร

นี่เป็นอีกฉากหนึ่งซึ่งมากด้วยความแหลมคม

 

จึงขอเริ่มจากสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง อีเข่าขบเขี้ยว เคี้ยวฟัน พลันตะปบมือจิกผมนางขึ้นมา ลิ่มเซียนยี้มิเพียงไม่กลัวเท่านั้น

หากกลับแย้มยิ้ม หยาดเยิ้มกว่าเดิม

“แม้นับว่ามันตายเพราะข้าพเจ้ามันก็ยินยอมพร้อมใจอยู่ เนื่องจากมันเห็นว่ามีคุณค่าคู่ควรยิ่ง”

เปลวเทียนสาดแสงวูบวาบถูกใบหน้านาง

ยิ่งเห็นรอยยิ้มของนางคล้ายบุปผากำลังเบ่งบาน อีเข่าจ้องหน้านางแน่วนิ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมอำมหิต

กล่าวว่า “เรากลับต้องดูท่านคู่ควรจริงหรือไม่”

มันพลันกระชากผ้าห่มนวมออก ร่างเปลือยเปล่าของนางขดงอ คล้ายเป็นลูกแกะสีขาว

ลูกกระเดือกของอีเข่าเลื่อนขึ้นๆ ลงๆ ลำคอคล้ายแห้งผากไปแล้ว

ลิ่มเซียนยี้แย้มยิ้มกล่าว “ท่านเห็นว่าข้าพเจ้ามีค่าคู่ควรหรือไม่”

 

อีเข่าม้วนพันเส้นผมของนางกับฝ่ามือ ยิ่งพันยิ่งแน่น คล้ายกับจะถอนผมเผ้าของนางออกจากหนังศีรษะ

ลิ้มเซียนยี้แม้เจ็บปวดจนน้ำตาไหลหลั่ง

แต่ในดวงตา หยาดเยิ้ม ทอแววลิงโลดอย่างมุ่งหวังชนิดหนึ่ง หยีตามองดูอีเข่า หอบหายใจครวญครางว่า

“ท่านไฉนเพียงจิกผมของข้าพเจ้า หรือบนร่างข้าพเจ้ามีหนามแหลม”

แววตาเช่นนี้ ถ้อยคำเช่นนี้ ยังมีบุรุษใดทนทานรับได้ อีเข่าพลันสะบัดฝ่ามือตบฉาดใส่ใบหน้านาง จากนั้น ตะปบคว้าหัวไหล่ของนางแนบแน่น

บิดร่างของนางโดยแรง

ร่างของลิ้มเซียนยี้พลันสั่นระริกขึ้นมา แต่มิใช่สั่นระริกเพราะความเจ็บปวด หากแต่สั่นสะท้านด้วยความลิงโลด

ใบหน้าของนางร้อนผ่าวขึ้นอีกครา

อีเข่าต่อยหมัดใส่ท้องของนางหมัดหนึ่ง กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “นางแพศยา ที่แท้เจ้าชมชอบถูกทุบตี”

ลิ้มเซียนยี้ถูกต่อยจนขดตัวเป็นก้อนกลม

ครวญครางออกมาว่า “ท่านทุบตี ท่านทุบตีอีก ท่านทุบตีข้าพเจ้าจนตายเถอะ” สุ้มเสียงของนางปราศจากแววเจ็บปวด แต่เต็มไปด้วยความต้องการ

“ข้าพเจ้าไม่กลัวท่าน ข้าพเจ้าไยต้องกลัวท่าน

ท่านแม้อัปลักษณ์จนน่ากลัว แต่ก็เป็นบุรุษ ข้าพเจ้าชมชอบท่าน ข้าพเจ้าพบเห็นบุรุษที่หล่อเหลามากจนเกินไป ข้าพเจ้าชมชอบบุรุษที่อัปลักษณ์

ท่าน ยังรออันใด”

 

ระหว่างลิ่มเซียนยี้กับอีเข่าคล้ายกับอีเข่าจะเป็นฝ่ายรุก คล้ายกับลิ้มเซียนยี้จะเป็นฝ่ายรับ แต่ในความเป็นจริง

มีทั้งด้านที่ “รับ” และด้านที่ “รุก”

กล่าวเฉพาะลิ้มเซียนยี้นางรับทั้งบท “รับ” และภายในกระบวนการรับกลับแฝงด้วยท่วงทำนอง “รุก”

รุกอย่างท้าทาย รุกอย่างเย้ายวน

หากใครเคยอ่าน “ซาเสียวเอี้ย” อัน “โกวเล้ง” ได้แรงดาลใจมาจากบท แฟรงก์ เคน ของ แฮโรลด์ ร็อบบิน ก็จะมีฉากในลักษณะนี้

เพียงแต่ปรากฏในหอคณิกาเลื่องชื่อ

แต่กล่าวสำหรับคราวนี้สถานการณ์ของลิ่มเซียนยี้สัมผัสได้ทั้งใน “ตอเช้งเกี่ยม บ้อเช้งเกี่ยม” และยาวมาถึง “ทิต้าไต้เฮียบฮุ้น” ครบถ้วน