33 ปี ชีวิตสีกากี (7) | เป็นคนพูดไม่ชัด พูดภาษาอังกฤษเลยลำบาก

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

ในวันที่อยู่ชั้น ป.1 คุณครูได้พาแถวนักเรียนไปรับเสด็จ ไปยืนริมถนนแต่เช้า จนกระทั่งแดดส่องเปรี้ยง ซึ่งแดดร้อนมาก

เด็กนักเรียนทุกคนรวมทั้งผมด้วยได้รับแจกธงชาติที่เป็นกระดาษ พร้อมก้านไม้ที่เสียบกับธงชาติ ไว้ถือโบกสะบัด

เวลาผ่านไปนานมาก จนกระทั่งมีขบวนรถยนต์หลายคันผ่านมา แล้วก็ผ่านไปด้วยความรวดเร็ว นักเรียนก็โบกสะบัดธงชาติไปมา

ผมไม่เห็นใครเลยในรถ เพราะรถวิ่งเร็ว แค่ครูบอกว่า รับเสด็จในหลวง

พอครบปีก็ขึ้นไปเรียนชั้น ป.2 ห้อง ก กับครูประจำชั้น ชื่อ ครูเล็ก คิดประเสริฐ

คราวนี้ย้ายมาเรียนที่อาคารชั้นเดียวแต่ยกพื้น สีเขียวอ่อน มีมุขอยู่ตรงกลางและบันได 5-6 ขั้นขึ้นลงสองข้างของมุข ส่วนด้านริมสุดของอาคารหลังนี้มีบันไดขึ้นลงเช่นกันทั้ง 2 ด้าน

หน้าอาคารปลูกต้นเฟื่องฟ้าเป็นแนว บริเวณใต้ต้นเฟื้องฟ้าจะทำที่นั่งเป็นไม้ 2 ข้างมีพนักพิงตรงกลาง โดยต้นเฟื้องฟ้าอยู่ตรงกลาง

คุณครูยังให้นักเรียนทำแปลงดินปลูกผักหรือดอกไม้ หน้าห้อง และหลังห้อง

ผมอยู่ชั้น ป.2 การเรียนก้าวหน้าขึ้น อ่านได้คล่องแคล่วว่องไว การทำเลขก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนอยู่ดี เพราะกลัวครูมาก กลัวถูกครูตีเวลาทำผิด

ก่อนกลับบ้านตอนเลิกเรียน ครูประจำชั้นจะให้นักเรียนท่องบทอาขยานและท่องสูตรคูณ และแบบเรียนเด็กชายใหม่ รักหมู่ เป็นเด็กดี ตื่นนอน แต่เช้า…

หรือถ้าครูใจดี ก็จะเล่านิทาน บางทีเป็นนิทานอีสป ซึ่งนักเรียนชอบฟังครูเล่านิทานมาก เหมือนเป็นรางวัล ฟังแล้วสนุก อยากฟังทุกๆ วัน

ส่วนเย็นวันศุกร์ ก่อนกลับบ้าน นักเรียนทุกชั้นจะต้องเข้าไปนั่งในศาลาประชาคม เพื่อสวดมนต์ โดยมีนักเรียนชั้น ป.7 เป็นคนนำสวด

สวดมนต์เสร็จ จะมีคุณครูมาประชุมชี้แจงเรื่องกฎระเบียบ ข้อห้าม หรือเรื่องทั่วๆ ไป นักเรียนจะต้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ ถ้าคนไหนทำตัวเกเร มีคุณครูของแต่ละชั้นจะมาเดินดู และเอานักเรียนคนนั้นไปทำโทษ

ในอาคารศาลาประชาคม เป็นอาคารชั้นเดียว ด้านในสุดของศาลาประชาคม ซึ่งเมื่อเข้าไปจะเป็นด้านหน้า เป็นเวทียกพื้นขึ้นมา มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 กับพระราชินี ติดอยู่ด้านบน แล้วยังมีรูปจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ภาพสมัยนั้นยังเป็นภาพขาวดำ

วันศุกร์จึงเป็นวันที่ผมเบื่อหน่ายที่สุด เพราะอยากกลับบ้านเร็วๆ

ถ้าเข้าฤดูฝน ฝนจะตกตลอด ผมกับพี่ๆ น้องๆ จะใช้ถุงพลาสติกใสๆ ที่เป็นถุงบรรจุปุ๋ย ที่พ่อผมซื้อปุ๋ยมาเพื่อใช้ใส่พืชผักในสวน เอามาทำเป็นชุดกันฝน และใช้มาตลอด เพราะประหยัดเงินพ่อแม่

เมื่อสมุด ดินสอ ยางลบ ใช้ไปนานๆ จะหมด ผมจะเดินไปตลาดเพื่อซื้อของเหล่านี้ที่ร้านทวีสิน โดยเดินจากโรงเรียน ผ่านที่ว่าการอำเภอกระทุ่มแบน ผ่านสโมสรข้าราชการ และสถานีตำรวจ เดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงร้านทวีสิน ที่ขายของสำหรับนักเรียน

เวลาที่ผมผ่านโรงพัก พบตำรวจแต่งเครื่องแบบ รูปร่างใหญ่ค่อนข้างอ้วนหน่อย มีพุงด้วย ยืนอยู่บนถนนหน้าโรงพักและผมต้องเดินผ่าน ผมเห็นตำรวจคนนี้พกปืนไว้ที่เอว เป็นปืนแบบลูกโม่ และยังมีบั้งติดไว้ที่แขนท่อนบน จำได้ว่าบั้งจะเป็นบั้งใหญ่มาก ไม่เหมือนสมัยนี้

ผมจะกลัวตำรวจมาก ไม่ค่อยกล้าเดินผ่าน เวลาเดินก็พยายามรีบๆ เดิน กลัวทำอะไรผิดแล้วตำรวจจับ เพราะผมฝังใจมาตลอด เวลาเด็กๆ ดื้อ จะเรียกตำรวจมาจับ ยิ่งเห็นปืนยิ่งกลัวปืน เพราะปืนใช้ยิงคนตายได้

ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกลึกๆ ที่ฝังอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็กๆ และไม่เคยเอ่ยออกมาให้ใครรู้เลย ว่าผมมีความรู้สึกอย่างนี้

 

เวลาเดินกลับบ้าน หลังจากโรงเรียนเลิก ต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะทางเดินเป็นดินโคลน ลื่นมาก ถ้าพลาดท่าลื่นล้ม ทั้งชุดนักเรียน กระเป๋านักเรียนจะเลอะเทอะดินโคลน

และที่ผมต้องคอยกลับพร้อมกับพี่ๆ เพราะเวลาเดินผ่านทางเลียบคลอง จะต้องผ่านบ้านตาฮวดสายฝน ที่เลี้ยงหมาไว้ ชื่อ ไอ้ขาว เป็นหมาที่ดุมากๆ

ไอ้ขาวชอบไล่เห่าเด็กนักเรียน บางครั้งพุ่งไล่กัดเลยก็มี พวกเด็กนักเรียนจะกลัวไอ้ขาวกันมาก

ผมเคยกลับบ้านคนเดียว และเจอไอ้ขาววิ่งไล่เห่า ผมตกใจมาก วิ่งหนีแทบไม่คิดชีวิต จนตกท้องร่อง ชุดนักเรียนเปียกน้ำไปหมด กระเป๋าหนังสือก็เปียกน้ำ เปิดสมุดหนังสือออกมา เพื่อตากให้แห้ง ยังมีแหนในท้องร่องติดที่กระดาษด้วย

ถ้าพวกเด็กนักเรียนอยากจะหนีไอ้ขาว ก็อาจจะเดินกลับบ้านไปอีกทาง คือ เดินไปทางถนนกลาง ที่พ่อผมเคยบุกเบิกเอาไว้โดยเอาดินลูกรังมาถม

แต่เส้นทางนี้ วันดีคืนดี มีควายตัวหนึ่ง พวกเด็กๆ เรียกมันว่า ไอ้เหลือง เจ้าของชื่อ ยายแรม มันเดินออกมาเคี้ยวหญ้าแถวๆ นั้น ถ้าโชคร้ายมันกำลังอยู่บนทางเดินที่จะผ่านและเห็นนักเรียน มันจะวิ่งไล่ขวิดเด็กนักเรียน พวกนักเรียนจะกลัวกันมาก

ไม่ว่าไปทางไหน ก็เสี่ยงภัย เมื่อต้องเจอไอ้ขาว กับไอ้เหลือง พวกเด็กนักเรียนจะคอยกันหลังเลิกเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมกันเป็นหมู่คณะ

เมื่อจำนวนคนมาก ทั้งไอ้ขาว ไอ้เหลือง ก็ไม่กล้า ไอ้ขาวได้แต่เห่า ถ้าไปอีกเส้นทางเจอไอ้เหลือง มันก็ได้แต่ยืนดูไม่กล้าไล่ขวิด

 

เมื่อผมมาเป็นเด็กนักเรียนแล้ว มีวันที่ผมตั้งตารอคอยด้วยใจจดใจจ่ออยู่วันหนึ่ง และผมก็คิดว่า เด็กทุกคนก็รอคอยวันนี้เหมือนกับผม คือวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ของทุกปี จะเป็นวันเด็ก

วันนี้ผมกับพี่ๆ น้อง ๆ แต่งชุดนักเรียนไปโรงเรียนกัน เพราะโรงเรียนได้จัดงานวันเด็ก เด็กนักเรียนจะได้รับแจกฟรีสมุด ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ รวมทั้งมีขนมแจกด้วย และมีรายการพิเศษอีกเยอะแยะ ที่ทำให้เด็กๆ สนุกสนาน

เมื่อกลับถึงบ้าน ทุกคนจะมีของแจกกันทุกคน ทำให้ประหยัดเงินพ่อแม่ในการซื้ออุปกรณ์การเรียน

อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ หนังสือวันเด็ก ที่พิมพ์ขายนักเรียน ในหนังสือมีเรื่องมากมายหลายเรื่องที่น่าสนใจ น่าอ่าน รวมทั้งมีคำขวัญวันเด็กจากนายกรัฐมนตรี เช่น เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ และครูจะพูดเสมอๆ ว่า เด็ก คือ อนาคตของชาติ

ผมยังเด็กก็ไม่เข้าใจความหมายอะไรว่าเด็กๆ จะเป็นอนาคตของชาติได้อย่างไร ตัวก็ยังเล็ก เงินก็ไม่มี ต้องขอจากพ่อแม่

จนเมื่อผมทำงาน และเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ขึ้นไปเรื่อยๆ คนในวัยผมบางคนดำรงแหน่งสำคัญๆ ที่ต้องตัดสินใจแทนคนไทยทั้งประเทศ

เมื่อย้อนไปนึกถึงคำพูดของครูที่พูดเอาไว้ มันไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเลย เพราะผู้ใหญ่ในสมัยที่ผมยังเด็กๆ ผู้ใหญ่เหล่านั้น ต่างก็ล่วงลับจากโลกนี้ไปตามกาลเวลา

ส่วนเด็กอย่างผมในวันนั้น ก็กลายมาเป็นผู้ใหญ่แทน แล้วกาลเวลาที่หมุนไปตลอดไม่เคยหยุด ไม่เคยหลับใหลเพื่อพักผ่อน ก็ทำให้ผมกลายเป็นผู้ใหญ่วัยชราในวันนี้

และเมื่อผมหันกลับไปมองพวกเด็กๆ ในวันนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน ผมก็ชื่นชมยินดีที่เด็กๆ เหล่านี้จะต้องเติบโตไปและรับผิดชอบบ้านเมืองแทน

และสิ่งที่ผมไม่สามารถจะทำได้เลย คือ มีอายุยืนให้เท่าเด็กเหล่านี้ เพราะเขาจะอยู่ในโลกนี้เนิ่นนานกว่าผมอย่างแน่นอน ได้เห็นความเป็นไปของโลกในวันข้างหน้า ได้เห็นวิทยาการที่สุดยอดของนวัตกรรมล้ำยุค ที่ก้าวหน้าจนคนอย่างผมไม่สามารถจะจินตนาการไปถึงได้ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น

ซึ่งวันนั้น ผมไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว คงจะลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว

ดังนั้น ทุกวันนี้เมื่อผมเห็นเด็กๆ ถ้ามีโอกาสได้อุ้มได้กอด ผมก็อยากเข้าไปอุ้มไปกอดอย่างทะนุถนอม ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือลูกของใคร จะสีผิวอะไรก็ช่าง เพราะผมนึกเสมอว่า นี่คือการโอบกอด และอุ้มอนาคตของโลก ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในวัยผม ต้องทะนุถนอม ประคับประคองเด็กๆ ให้เติบโตไปด้วยสิ่งที่ดีที่สุด ให้โอกาสเด็กๆ เรียนรู้และทำตามที่เขาใฝ่ฝัน อนาคตจึงเป็นของเด็กๆ

วันเด็กทุกๆ ปี จึงเป็นวันที่มีความสุขและสนุกมากๆ เมื่อผมโตขึ้นมาก็ไปเที่ยวในสถานที่ที่เปิดให้นักเรียนเข้าฟรีในวันเด็ก

แม้ผมมาเป็นตำรวจที่จังหวัดระนองแล้ว เมื่อถึงวันเด็ก ผมยังจดจำความรู้สึกของวัยเด็กว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ ดังนั้น จึงไม่รอช้าที่จะจัดหาของขวัญไปให้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ผมอยู่

 

ผมเรียนจบชั้น ป.2 คุณครูก็ให้ผมขึ้นไปเรียนชั้น ป.4 เลย โดยไม่ต้องเรียนชั้น ป.3 สมัยนั้นเขาเรียกว่า Pass ชั้น ผมอยู่ชั้น ป.4 ห้อง ง คุณครูประจำชั้นชื่อ คุณครูจุรินทร์ แสงสว่าง และคุณครูยังใช้ผมสอนเลขกับนักเรียนชั้น ป.4 ที่เรียนอยู่ก่อนแล้วอีกด้วย ถือว่าผมเรียนก้าวหน้า

ผมชอบวาดรูปมาก และเผลอแอบวาดตอนที่ครูกำลังสอน จนคุณครูต้องตีเพื่อทำโทษ

แล้วผมก็เลื่อนขึ้นไปเรียนชั้น ป.5 คุณครูประจำชั้นชื่อ คุณครูสุพรรณี นิลดำ ชั้น ป.5 นักเรียนเริ่มใช้ปากกาเขียนหนังสือแทนดินสอ เพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกันมาบางคนย้ายไปเรียนที่อื่น และมีเพื่อนใหม่ๆ เข้ามาด้วย เริ่มเรียนภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก ผมตามไม่ทันเลย เพราะนักเรียนที่มาจากที่อื่น เขาเรียนภาษาอังกฤษมาก่อน จึงไปได้เร็วกว่า

ผมจึงเริ่มกลัวภาษาอังกฤษ เมื่อตามไม่ทัน ยิ่งไม่อยากเรียน ตั้งแต่นั้นมา ภาษาอังกฤษก็เป็นไม้เบื่อไม้เมาของผมมาโดยตลอด ถือเป็นจุดอ่อนที่ไม่สามารถแก้ไขได้

สำหรับภาษาที่ผมพูดอยู่ทุกวันตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าไปเรียน ผมสงสัยจังว่า ทำไมที่บ้านผมพูดอย่างนี้ แต่ทำไมเด็กนักเรียนคนอื่นจึงพูดอีกอย่าง

เช่น ที่บ้านผมจะเรียกไข่ ลักษณนามเป็นใบ แต่คนอื่นเรียกเป็นฟอง

เข่ง บางคนก็เรียกว่าเข่ง บางคนก็เรียกว่าหลัว หรืออย่างหมาก บ้านผมเรียกเป็นเครือ อ้าว ทำไมเขาเรียกเป็นทะลาย เช่น กล้วย 1 เครือ ตัวหิ่งห้อยบ้านผมเรียกตัวทิ้งถ่วง ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเรียกไม่เหมือนกัน ทั้งๆ พื้นที่ก็ไม่ไกลจากกัน

และสำเนียงพูดบางคนก็เหน่อมากๆ ฟังดูแปลกๆ แต่คนที่พูดเหน่อๆ กลับบอกว่า ผมพูดเหน่อ

อีกอย่างหนึ่งเมื่อผมโตมากแล้ว ผมจึงรู้ว่า ผมเป็นคนพูดไม่ชัด และไม่สามารถออกเสียงตัว รอเรือ และตัว ลอลิง ต้องออกเสียงต่างกันอย่างไร คือ ผมไม่สามารถกระดกลิ้นได้ รวมทั้งคำควบ คำกล้ำ ผมก็ออกเสียงไม่ชัด เช่น เปลี่ยนแปลง มีคนมาบอกผมว่า ผมออกเสียงเป็น เปี่ยนแปง คือ ไม่มีตัวลอลิงกล้ำ ผมไม่รู้จักห่อลิ้น

ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่า เมื่อไปเข้าโรงเรียนใหม่ๆ เวลาครูสอน ผมอาจจะใจลอย ไม่ได้ฟังครู จึงไม่ได้ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กเล็กๆ จนติดเป็นนิสัยมาจนแก่

ดังนั้น เวลาพูดต่อหน้าสาธารณะ ผมจึงไม่อยากพูด กลัวถูกล้อ และประหม่าทุกครั้ง พยายามแก้ไข จนแล้วจนรอด แต่ก็เผลอลืมทุกที

และการพูดสำเนียงใหม่ๆ ผมมักทำไม่ค่อยได้ เมื่อไปทำงานที่ภาคใต้ ผมพยายามฝึกหัดพูดสำเนียงใต้เพื่อให้กลมกลืนกับคนในพื้นที่ แต่ลิ้นมันแข็ง พอออกเสียงแล้ว กลายเป็นพูดสำเนียงออกทองแดง ทำภาษาเขาเพี้ยนไปหมด

แม้กระทั่งเมื่อผมมาอยู่ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย แล้วก็ตาม ลิ้นผมก็มีปัญหาในการพูดภาษาอังกฤษ จนบางครั้งเจอชาวออสซี่เขาฟังไม่เข้าใจว่าผมพูดว่าอะไร ผมต้องบอกว่า I’m sorry. My tongue is not flexible enough for pronouncing some words. หรือแม้กระทั่งต้องพูดยอมรับออกมาตรงๆ ว่า My English is not perfect.

จึงเป็นอุทาหรณ์สอนให้รู้ว่า นี่แหละ เพราะการไม่ยอมฝึกฝนเมื่ออายุน้อยๆ หรือเป็นเด็ก จะลำบากเมื่อแก่ อย่างไร