วงค์ ตาวัน : เพื่อนายกฯ ที่ไม่มาจากเลือกตั้ง

วงค์ ตาวัน
พล.อ.​ประยุทธ์ จันทร์​โอชา ผบ.ทบ.​ลง​คะแนนเสียง​เลือกตั้ง​ผู้​ว่าฯ​กทม. เมื่อ​วัน​ที่ 3 มีนาคม 2556

กล่าวกันว่า การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 คือความพยายามของฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมือง ในการจะหยุดอำนาจฝ่ายเลือกตั้ง และต้องการจะถอยหลังสังคมไทยให้ย้อนยุคกลับไป เพื่อไม่ให้ประชาธิปไตยเฟื่องฟูมากนัก แต่เมื่อยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ จึงต้องมีรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ซ้ำอีกหน เพื่อถอยหลังประเทศไทยให้ย้อนยุคไปไกลสุดกู่มากที่สุด

รัฐบาลทหาร คสช. จึงไม่ได้เข้ามาควบคุมบ้านเมือง เพื่อภารกิจหยุดความขัดแย้งแตกแยกเท่านั้น แต่พยายามอยู่ในอำนาจยาวนานผิดแผกแตกต่างกับรัฐบาลทหารที่มาจากการรัฐประหารทุกหน

“ถึงวันนี้เป็นรัฐบาลกว่า 3 ปีแล้ว กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง ก็จะอยู่ยาวนานถึง 4 ปี 5 ปี เป็นอย่างน้อย”

แล้วไม่เท่านั้น วันนี้แกนนำ คสช. เปิดหน้าออกมาเล่นอย่างชัดเจน เปิดเผยถึงการตระเตรียมปูทางกลับสู่อำนาจ เพื่อจะอยู่ไปอีกยาวนาน

ยอมรับกันอย่างชัดเจนไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนใดๆ ว่า จะต้องมีพรรคการเมืองใหม่ พรรคการเมืองที่ คสช. จะให้การสนับสนุน

เมื่อรวมกับพรรค ส.ว. อีก 250 เสียง ที่สามารถร่วมโหวตตั้งนายกฯ ได้

“คือแนวทางกลับมาเป็นนายกฯ อีกหน ภายใต้กติกาที่เปิดช่องนายกฯ มาจากคนนอกได้”

ยิ่งเมื่อมียุทธศาสตร์ประเทศอีก 20 ปี ควบคุมรัฐบาลชุดต่อๆ ไป นั่นก็คือ แผนการของฝ่ายอนุรักษนิยม ที่ต้องการฉุดประเทศให้ถอยหลัง ต้องการให้การเมืองอยู่ในการครอบงำของขุนศึกขุนนางไปอีก 20 ปี

ถ้าทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนที่วางเอาไว้เช่นนี้

“เราก็จะเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มล้าหลังของโลกอีกยาวนาน เพราะจะอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยที่มีแค่เสี้ยวใบ ครึ่งใบ”

พรรคการเมือง หรือนักการเมือง ไม่สามารถมีนโยบายพลิกโฉมหน้าประเทศได้อีก เพราะรัฐธรรมนูญจะควบคุมไม่ให้มีนโยบายประชานิยมอย่างเด็ดขาด

ข้ออ้างในการกีดกันนโยบายประชานิยมก็คือ เพื่อไม่ให้นักการเมืองผลาญงบประมาณแผ่นดินไปหาเสียงกับชาวบ้าน

แต่ข้อเท็จจริง เพราะนโยบายประชานิยม ทำให้พรรคการเมือง เช่น ไทยรักไทย เพื่อไทย กลายเป็นพรรคที่ได้รับคะแนนนิยมอย่างกว้างขวาง มีเสียงข้างมากในสภาอย่างมั่นคง ทำให้อำนาจฝ่ายเลือกตั้งอยู่เหนือฝ่ายอนุรักษนิยม เหนือฝ่ายขุนศึกขุนนาง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

“นั่นจึงจำเป็นต้องทำลายนโยบายประชานิยมที่ว่านี้”

ขณะเดียวกันเสียงของประชาชน ที่มีสิทธิในการเลือกตั้ง กลับไม่สามารถกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีได้ เพราะมีการปูทางให้นายกฯ คนนอกเข้ามาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ประชาชนเลือกตั้งกันไป แต่สุดท้ายพรรคนอมินีทหาร และพรรค ส.ว. 250 เสียง จะร่วมกันโหวตนายกฯ จากคนนอก ที่ไม่เกี่ยวกับเสียงของประชาชนเลย

เห็นหรือยังว่า สังคมไทยกำลังถอยหลังกลับไป 30-40 ปี!

ความตายของประชาชนจำนวนมาก ในเหตุการณ์นองเลือดพฤษภาคม 2535 ไม่มีความหมายสำหรับคนไทยในวันนี้เสียแล้ว ทั้งที่ผู้คนซึ่งยอมสละเลือดเนื้อชีวิตในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้แสดงเจตจำนงชัดเจน และด้วยสายตาที่แหลมคม ในการชี้ว่าหากรัฐธรรมนูญไม่กำหนดว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากเลือกตั้ง ต้องมาจาก ส.ส.

หากรัฐธรรมนูญยังเปิดให้มีนายกฯ จากไหนก็ได้ นั่นคือ การเปิดช่องให้อำนาจนอกระบบสามารถแทรกแซงการเมืองได้ตลอดเวลา

“เป็นการเปิดช่องทำให้อำนาจอื่น เข้ามาอยู่เหนืออำนาจในมือประชาชน”

การต่อสู้ที่ต้องล้มตายกันกว่าครึ่งร้อย บาดเจ็บพิการอีกมหาศาล เมื่อปี 2535 นำมาสู่รัฐธรรมนูญฉบับต่อมา ที่กำหนดให้เสียงเลือกตั้งของประชาชนมีความศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ กำหนดว่านายกฯ ต้องมาจากผู้ผ่านการเลือกตั้งเป็น ส.ส. เท่านั้น

ผ่านไป 20 ปี ใครจะนึกว่าสังคมไทยจะต้องยูเทิร์นเพื่อถอยหลัง ด้วยการก่อม็อบเมื่อปี 2556 ของแกนนำพรรคการเมืองบางส่วน ที่ร่วมมือกับกลุ่มอนุรักษนิยมทางการเมือง ในการหยุดประชาธิปไตย และมีเป้าหมายถอยหลังประเทศไป 30-40 ปี

โดยจุดเริ่มต้นของการชุมนุมประท้วง คือกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง จนเมื่อฝ่ายรัฐบาลต้องยอมถอยกรูด ยุติกฎหมายต้นเหตุ รวมทั้งเสนอทางออกด้วยการยุบสภา เพื่อเปิดให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองใหม่

หญิงผู้มีสิทธิเลือกตั้งรายหนึ่ง กำลังถือบัตรประจำตัวประชาชนของเธอและตะโกนใส่เจ้าหน้าที่ที่ปิดทางเข้าคูหาเลือกตั้ง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ( AFP PHOTO / CHRISTOPHE ARCHAMBAULT)

“ซึ่งหากการประท้วงหากดำเนินด้วยจุดยืนของนักประชาธิปไตย จะต้องเลือกหนทางการเลือกตั้ง ให้ประชาชนตัดสินใจ ทั้งโอกาสที่พรรคดังกล่าวจะชนะเลือกตั้งมีอยู่สูง ภายใต้กระแสที่พรรคเพื่อไทยกำลังตกต่ำสุดขีด แล้วเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล โดยรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ดังเดิม จะลงมือปฏิรูปการเมืองให้ดีงามก็ย่อมทำได้!”

แต่เพราะมีความตระเตรียมการร่วมมือกันระหว่างแกนนำนกหวีดบางคนกับฝ่ายขุนศึกขุนนางเอาไว้แล้ว

“จึงนำการประท้วงไปสู่การสร้างวิกฤตจนเข้าสู่ทางตัน ลงเอยก็เกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และมีรัฐบาลทหารเข้ามาปกครองประเทศแบบฝังราก”

พร้อมกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ กำหนดกรอบกติกามากมาย ภายใต้คำหรูหราปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่ปฏิรูปอย่างไร ทำไมจึงทำให้สังคมถอยหลังย้อนยุคไป 30-40 ปี นั่นเพราะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สังคมไทยถอยหลัง ยุคเฟื่องฟูของฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องหมดไป เข้าสู่ยุคสังคมอนุรักษนิยมล้าหลัง คนกุมอำนาจคือฝ่ายอนุรักษนิยมเท่านั้น

ผลประโยชน์ของการต่อสู้ทางการเมืองในช่วงปี 2556 เชื่อมโยงการรัฐประหาร 2557 และต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้

“จึงเป็นผลประโยชน์ของชนชั้นสูง ชนชั้นกลางที่เกาะกินอยู่กับอำนาจท็อปบู๊ต เป็นสำคัญ!”

แต่ที่สูญเสียไปแน่ๆ คือ ผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะถูกริบอำนาจทางการเมืองตั้งแต่ปี 2557 มาจนถึงวันนี้

อีกทั้งเมื่อจะกลับสู่การเลือกตั้งในอีกปีสองปีข้างหน้า ก็จะเป็นเสียงเลือกตั้งที่ถูกกดทับด้วยอำนาจอื่น

การลุกฮือประท้วงในปลายปี 2556 จึงเป็นการต่อสู้เพื่ออำนาจชนชั้นสูงและขุนศึกขุนนางโดยแท้

หลังเข้าสู่ยุค คสช. ปกครองบ้านเมือง มีการตั้งสภาที่มาจากพวกเดียวกันเอง เพื่อมาทำหน้าที่ออกกฎหมาย สร้างกฎกติกา และปฏิรูปประเทศ โดยปฏิรูปแบบถอยหลังเข้าถ้ำ ย้อนยุคไปสู่การเมืองล้าหลัง

ในช่วงระหว่างนี้เราจะพบกับถ้อยคำประเภทที่ว่า เรากำลังทำเพื่อประชาชนคนส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำเพื่อนักการเมืองหยิบมือ

คนที่พูดจาแบบนี้ช่างไม่กระดากปาก เพราะเข้ามามีบทบาทในสภาลากตั้ง ที่แต่งตั้งจากคนหยิบมือเดียว ซึ่งเป็นกลุ่มขุนศึกขุนนาง

ไม่ได้มีอะไรเชื่อมโยงกับประชาชนเลย

“กลับอวดอ้างว่า มาทำเพื่อชาวบ้าน ไม่ได้ทำเพื่อนักการเมืองหยิบมือ!?”

เพราะคนพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่แอบอิงหากินอยู่กับกลุ่มชนชั้นสูงกลุ่มไฮโซในสังคม

ไม่ได้มีจุดยืนที่จะเข้าใจประชาชนได้แต่อย่างใด

ในทางกลับกัน นักการเมืองที่กำลังสร้างภาพทำลายกันให้จมดินเหล่านั้น ล้วนมาจากประชาชน คลุกคลีกับชาวบ้านหาคะแนนนิยมกับประชาชนคนส่วนข้างมากอย่างแท้จริง

แต่ก็นั่นแหละ บรรดากลุ่มคนที่เล่นบทเชลียร์ท็อปบู๊ตในขณะนี้ ล้วนได้ดิบได้ดีอยู่กับระบบแต่งตั้งมานับสิบปีแล้ว

“การแสดงออกอย่างเอาการเอางานเพื่อรับใช้รัฐบาล คสช. ก็เพราะมีรางวัลเก้าอี้ ส.ว. ในสภาชุดหน้ารออยู่นั่นเอง”

วันนี้แกนนำ คสช. เปิดหน้าชัดเจนแล้วว่า ได้ตระเตรียมปูทางกลับสู่อำนาจหลังการเลือกตั้งหนหน้า จะมีทั้งพรรคใหม่ พรรคที่ คสช. จะสนับสนุนอย่างเปิดเผย

เมื่อรวมกับพรรค ส.ว. 250 เสียง ที่กำลังเตรียมแต่งตั้งกันเองโดย คสช. เร็วๆ นี้

โดยมีไอ้ห้อยไอ้โหน ลิ่วล้อที่ออกหน้าออกตาด่านักการเมืองในเวลานี้ กำลังเร่งโชว์ผลงานเพื่อให้เข้าตาผู้มีอำนาจ เพื่อเข้ามานั่งเก้าอี้ลากตั้งต่อไปอีกสมัย

จะผนึกกันนำนายกฯ คนนอก เข้าสู่ทำเนียบในรัฐบาลชุดหน้า

ทั้งหลายทั้งปวง คือ การลดทอนเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งลงไป!