เครื่องเคียงข้างจอ วัชระ แวววุฒินันท์ / พลังของการสู้

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

พลังของการสู้

ผมได้มีโอกาสดูภาพยนตร์ 2 เรื่องในเวลาใกล้ๆ กัน ที่มีความเหมือนกันพอสมควร

นั่นคือเรื่อง Breathe และ Stronger

ที่ว่าเหมือนกันก็คือ ทั้งสองเรื่องนำมาจากเรื่องจริง และทั้งสองเรื่องมีพระเอกเป็นผู้ไม่สมประกอบที่ไม่สามารถเดินได้

และที่เหมือนกันคือ พระเอกทั้งสองลุกขึ้นสู้กับชีวิต

Breathe นำมาจากเรื่องจริงของ โรบิน คาร์เวนดิช หนุ่มชาวอังกฤษในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ด้วยธุรกิจเป็นตัวแทนค้าใบชาจากแถบอเมริกาใต้ ทำให้เขาได้รับเชื้อโปลิโอระหว่างการเดินทางไปอยู่แถบนั้น เชื้อได้ทำลายระบบประสาทของเขาทั้งหมดจนทำให้เขาเป็นอัมพาต

ร่างกายเขาตั้งแต่คอลงมาไม่สามารถขยับตัวได้ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และทารุณที่สุดในชีวิตจนกระทั่งเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่

แต่ผู้ที่เป็นกำลังใจให้เขาลุกขึ้นสู้คือ “ไดอาน่า-ผู้ภรรยา” ที่เธอเองก็แทบจะรับมือกับเรื่องนี้ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะตอนที่สามีเกิดล้มป่วยขึ้นมาด้วยโรคร้ายนี้ เธอกำลังตั้งครรภ์ ไหนจะลูกที่กำลังจะลืมตามาดูโลก ไหนจะสามีที่หมอที่ทำการรักษาบอกว่าอาจจะต้องลาโลกไปในไม่ช้านี้ เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย และมักจะตายในเวลาอันสั้น

เธอทนเห็นสามีจมจ่อมอยู่กับการรักษาไปวันๆ ที่โรงพยาบาล โดยโรบินเองรู้สึกว่าตัวเขาเหมือนนักโทษที่ถูกจองจำในคุก เมื่อเขาบอกว่า “พาเขาออกไปที” เธอก็ลุกขึ้นมาจัดการทุกอย่างเพื่อพาสามีออกไปสู่ภายนอก แม้ว่าจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก็ตาม

โรบินคิดว่าเขาควรจะต้องสู้เพื่ออยู่ต่อ อย่างน้อยการที่ได้เห็นลูกชาย “โจนาธาน” ค่อยๆ เติบโตขึ้นก็เป็นพลังอันวิเศษให้กับเขาได้ไม่น้อย

ด้วยความเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทำให้เขามองชีวิตแบบสดใสสวยงาม เขาจึงคิดว่าผู้ป่วยพิการไม่ควรจะนอนอยู่แต่บนเตียง เขาจึงให้เพื่อนที่มีความสามารถในการประดิษฐ์ ทำรถเข็นที่มีเครื่องช่วยหายใจติดกับรถไปด้วย นั่นจึงทำให้เขาสามารถออกไปใช้ชีวิตภายนอกที่รื่นรมย์ได้

DSCF5226.raf

ไม่แต่แค่ออกไปที่บริเวณบ้านหรือที่ใกล้เคียงเท่านั้น เขาออกเดินทางไปยังที่ไกลๆ พร้อมกับครอบครัวโดยการดัดแปลงสภาพรถให้เหมาะสมต่อการขนย้าย และไกลออกไปยังต่างประเทศ เช่น ที่ประเทศสเปน เป็นต้น

โรบินได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลคนพิการในระดับประเทศ

ส่วนภาพยนตร์เรื่อง Stronger นั้น ดัดแปลงจากเรื่องจริงของ เจฟ บาวแมน กับ เอริน คู่รักที่ตกเป็นข่าวจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในงานแข่งขันวิ่งมาราธอน ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2013

แต่ได้ใส่สีตีไข่ดัดแปลงให้เรื่องชวนติดตามในสไตล์ดราม่าที่ขับเคี่ยวอารมณ์กันถึงพริกถึงขิงออกไปอีก โดยเรื่องราวเริ่มจากที่เจฟไปยืนชูป้ายเพื่อให้กำลังใจคนรักคือ เอริน ที่เข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอนในงานนี้ด้วย แต่จากเหตุวางระเบิดเพื่อก่อการร้าย ทำให้เขาโดนระเบิดเข้าที่ขา

หมอจำเป็นต้องตัดขาใต้เข่าออกไปทั้งสองข้าง จึงทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เจฟต้องมาใช้รถเข็นในการดำรงชีวิต ต้องมีคนคอยช่วยเหลือในการกินการอยู่และใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งก็คือแม่ของเขาที่อยู่ด้วยกันในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ อยู่แล้ว กับเอริน-แฟนสาวที่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันเพื่อจะได้ช่วยดูแลเขา

นอกจากดราม่าที่เกิดจากความขัดแย้งของผู้หญิงสองคนที่ว่าแล้ว หนังยังเล่นกับความรู้สึกกดดันของเจฟ ที่ต้องแบกรับกับภาวะ “ฮีโร่จำเป็น” ที่เขาต้องหน้าชื่นอกตรมมาโดยตลอด

เมื่อถึงจุดที่แย่หนักๆ เขาก็เกิดพลังที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาสู้ได้อีกครั้ง จนทำให้เขาก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและปัญหาในชีวิตอันใหญ่หลวงมาได้ และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมีพลังก็คือ การได้รับรู้ถึงความทุกข์ของคนอื่นๆ และคนเหล่านั้นกลับยึดเอาตัวเขาเป็นกำลังใจให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตได้

เมื่อคนอื่นยังเอาเขาเป็นพลัง แล้วเขาจะมายอมแพ้อยู่ได้อย่างไร

นั่นคือการได้เห็นถึงคุณค่าของตัวเองนั่นเอง

ในเรื่อง Breathe ก็เช่นเดียวกัน ที่พระเอกโรบิน ก็ได้เห็นคุณค่าของตัวเองจากการที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อคนพิการจนเป็นผลสำเร็จ เหมือนเจฟใน Stronger ที่ก็ได้เห็นคุณค่าในตัวเอง เมื่อชายที่ช่วยเหลือเขาจากเหตุการณ์ระเบิดวันนั้น กลับเป็นผู้กล่าวขอบคุณเขาด้วยน้ำตา เพราะว่าเขาคนนั้นรู้สึกคาใจมาตลอดว่าไม่สามารถช่วยชีวิตลูกชายที่ตายไปได้ แต่วันนั้นวันที่เกิดเหตุระเบิด การที่เขาได้ช่วยเจฟ มันเท่ากับได้ปลดปล่อยความทุกข์ที่ค้างคาใจของเขาออก

และใน Breathe ตอนที่โรบินได้กล่าวบนเวทีของการประชุมเพื่อผู้พิการ เขาบอกว่า

“เขาไม่ได้ต้องการแค่หายใจได้เท่านั้น แต่เขาต้องการการมีชีวิตต่างหาก”

หนังทั้งสองเรื่องนี้ได้นักแสดงมากฝีมือมารับบทนำ คือ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ มารับบท โรบิน คาร์เวนดิช ในเรื่องแรก และได้ เจ็ก จิลเลนฮาน มารับบท เจฟ บาวแมน ในเรื่องหลัง ซึ่งจากแนวทางของหนังที่เป็นดราม่ากว่า เปิดโอกาสให้เจ็กสามารถแสดงความรู้สึกกดดัน สับสน หดหู่ และคลุ้มคลั่งในโชคชะตาได้มากกว่าแอนดรูว์

แต่ถึงกระนั้นในบทพระเอกฟีลกู๊ดของโรบิน แอนดรูว์ก็สามารถเล่นได้อย่างมีเสน่ห์ชวนดู และชวนขันในหลายๆ ตอน เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ทำให้เราลืมว่าเขาเคยเป็นไอ้แมงมุม-สไปเดอร์ แมน มาก่อน

หนังทั้งสองเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักกับการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเชียร์ให้เราลุกขึ้นมาสู้ เพราะใจที่สู้นั้นมันยิ่งใหญ่และมีพลังเหลือเกิน

เหมือนกับ “ตูน บอดี้สแลม” ที่กำลังใช้พลังใจนำพลังกายในการวิ่งจากใต้สุดสู่เหนือสุดอยู่ในขณะนี้ แม้จะต้องมีหยุดพักซ่อมแซมร่างกายบ้างเป็นครั้งคราว แต่ด้วยพลังใจนั้นยังคงสู้อยู่เต็มร้อย

พลังของการสู้นั้นช่างยิ่งใหญ่จริงๆ…คุณเห็นด้วยไหมครับ