คำอธิษฐาน | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

หลังลับแลมีอรุณรุ่ง | ธงทอง จันทรางศุ

 

คำอธิษฐาน

 

ดูเหมือนผมจะเคยเกริ่นไว้ในที่นี่แล้วครั้งหนึ่งว่า ผมมีความตั้งใจจะแวะไปเยี่ยมชมนิทรรศการเรื่องเครื่องทองที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่กรมศิลปากรเพิ่งจัดแสดงใหม่เป็นการถาวรเมื่อเร็วๆ นี้ให้จงได้

บัดนี้ความปรารถนาของผมสัมฤทธิผลแล้วครับ

นิทรรศการของเขาทำได้ดีจริง ดีทั้งข้าวของโบราณวัตถุศิลปวัตถุที่นำมาจัดแสดง ดีทั้งอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

ดีตลอดไปจนถึงเทคนิคการนำเสนอที่ทำให้การเดินชมมีรสชาติไม่รู้เบื่อ

พูดมากกว่านี้อีกนิดเดียวคนก็จะหาว่ารับสินบนจากอธิบดีกรมศิลปากรมาเสียแล้ว ฮา!

ผมจึงควรหยุดการโฆษณาพิพิธภัณฑ์เครื่องทองไว้เพียงแค่นี้ก่อน

แล้วมาพูดถึงประเด็นที่เกิดความคิดขึ้นมาในหัวใจเมื่อไปเดินชมนิทรรศการดังกล่าว

 

ในนิทรรศการที่ว่านั้นมีลานเงิน คือแผ่นจารึกทำด้วยเงินเป็นตัวอักษรไทยอยุธยาอายุในราวอยุธยาตอนต้นหรือพุทธศตวรรษที่ 20 มีเนื้อความเพียงแค่เจ็ดบรรทัด กล่าวถึงเรื่องขุนนางสมัยนั้นคนหนึ่งชื่อขุนศรีรัตนากรกับทั้งลูกเต้าพวกพ้อง ได้ร่วมกันสร้างพระพิมพ์จำนวน 76,152 องค์ เพื่อถวายเป็นอานิสงส์ผลบุญแด่สมเด็จพระรามาธิบดี คือพระเจ้าอู่ทอง และสมเด็จพระศรีราชาธิราช และพระญาติพระวงศ์ โดยท่านขุนผู้เป็นคนทำบุญอธิษฐานว่าขอให้เจ้านายเหล่านั้นได้ไปบังเกิดในสวรรค์นิพพาน

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือความตอนท้ายครับ

ท่านอธิษฐานแถมท้ายว่าขอให้ตัวเองได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ได้เข้าเฝ้าพระศรีอาริยไมตรี และต่อเมื่อพระศรีอาริยไมตรีได้ประสูติเป็นพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ตนเองได้จุติมาเกิดเป็นกษัตริย์ มีศักดิ์เท่ากับท้าวมันตธาตุ มีปัญญาเหมือนพระมโหสถ สามารถโปรดกษัตริย์เหมือนเจ้าสุตโสม ขอให้มีรูปงามอันทำให้พระกามเทพพ่ายแพ้ มีความกล้าหาญเหมือนพระราม สามารถให้ทานได้เหมือนพระเวสสันดร

ลงท้ายที่สุดว่า ขอให้ระลึกชาติได้ทุกเมื่อ ขอให้เบื่อวัฏสงสาร ได้เข้าฟังพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความศรัทธาออกบวช ทันใจบุญเกิดบาตรจีวร อย่าให้ทันได้โกนผมก็สามารถตัดกิเลสได้ทันทีที่บรรลุอรหันต์ หั่นสังสารวัฏถึงพระนิพพาน

 

ผมอ่านคำอธิษฐานของท่านขุนแล้วต้องร้องโอ้โหออกมาดังๆ เลยทีเดียว

ถูกแล้วครับ วันนี้ผมจะชวนท่านทั้งหลายพูดคุยและนึกถึงคำอธิษฐานเวลาที่เราทำบุญทำกุศลต่างๆ แล้วเราตั้งความปรารถนาว่าอย่างไรกันบ้าง

โดยมาตรฐานที่เห็นกันอยู่ทั่วไปในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญกุศลในทางพระพุทธศาสนาหรือตามลัทธิศรัทธาเลื่อมใสอย่างใดก็แล้วแต่ ผมสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่มักอธิษฐานขอให้ตนมีความร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น พูดให้เป็นรูปธรรมก็คือขอให้ถูกหวยรางวัลใหญ่หรือถูกเลขท้ายสองตัวสามตัวสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นอย่างน้อย

เจ้าพ่อเจ้าแม่และพระสงฆ์องค์เจ้าที่บอกใบ้ให้หวยจึงเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก

ยิ่งนานวันเข้าผมก็เห็นว่ากระแสความเป็นไปเช่นนี้หนักหน่วงขึ้น การทำบุญเพื่อให้เกิดบุญที่แท้คือความสุขสบายใจ ปลดเปลื้องความตระหนี่เห็นแก่ตัวลงบ้าง ดูเหมือนจะไม่มีใครนึกถึงเสียแล้ว

นี่มิพักต้องพูดไปไกลถึงขนาดหวังมรรคผลนิพพานแบบท่านขุนศรีรัตนากรสมัยอยุธยานะครับ ทุกวันนี้ทำบุญแล้วถูกหวยก็พอใจแล้ว

 

มรรคผลนิพพานหรือการหลุดพ้นจากสังสารวัฏดูจะเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมและอยู่ไกลเกินคิดของคนจำนวนมาก คือคิดไปไม่ถึงเลยทีเดียว หรือพูดอีกอย่างหนึ่งให้เจ็บปวดมากยิ่งขึ้นก็ต้องบอกว่า พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยที่ซื้อหวยอยู่ทุกงวดในประเทศไทยไม่มีความรู้ความสนใจใดๆ เลยกับเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา อันได้แก่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

ที่เป็นอย่างนี้น่าจะเป็นเพราะการตั้งความปรารถนาไปสู่การนิพพานนั้นอยู่เกินเอื้อม ตามความเข้าใจของปุถุชน ผู้ที่จะบรรลุผลสำเร็จอย่างที่ว่าได้นั้นก็มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ตัวเราหรือจะไปบังอาจเทียบเคียงกับท่านได้

แถมปัญหาเฉพาะหน้าของเราก็มีอยู่โต้งๆ คือการทำมาหากินฝืดเคือง ชักหน้าไม่ถึงหลัง มื้อหน้ายังไม่รู้เลยว่าจะหาอะไรใส่ปากใส่ท้อง

เพราะฉะนั้น ทำบุญห้าบาทสิบบาทตามกำลังที่มีเรี่ยวแรงเพียงแค่นี้ จึงต้องขออนุญาตหวังผลตอบแทนเป็นเงินร้อยเงินพัน และถ้าได้เป็นล้านเลยก็ยิ่งดีใหญ่

อย่าหาว่าค้ากำไรเกินควรเลย

คนอื่นที่เขาค้ากำไรเกินควรให้เห็นจะแจ้งกว่านี้ก็ไม่เห็นมีใครทำอะไรนี่นา

 

ถ้าดูให้ขยายวงกว้างไปกว่านั้นอีกสักหน่อย เราจะพบว่าคำอธิษฐานที่เป็นความปรารถนาของคนทำบุญทั้งหลายนั้น มักจะตั้งความหวังอยู่ที่สิ่งที่ตนเองขาดแคลน เช่น คนที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง ป่วยไข้ออดๆ แอดๆ หรือมีโรคร้ายรุมเร้า ทำบุญแล้วก็อยากจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือถ้ามองไกลหน่อย ก็ขอให้เวลาตายอย่าต้องทรมานมากนัก

เด็กนักเรียนที่สอบได้คะแนนคาบเส้น ถ้าทำบุญแล้ว ขอให้สมความปรารถนาได้ก็คงอยากจะได้คะแนนดีมากกว่านี้

เด็กหลายคนที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่ทะเลาะกันวันละสามเวลาก่อนอาหาร ลูกคงไม่ตั้งความหวังอะไรมากไปกว่าขอให้พ่อแม่เลิกทะเลาะกันเสียที

 

ถ้าเทียบดีกรีความปรารถนาของคนยุคนี้กับความปรารถนาของท่านขุนสมัยอยุธยาแล้ว จะพบว่าห่างชั้นกันมาก คำอธิษฐานที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในลานเงินเพียงแค่เจ็ดบรรทัดดังกล่าวข้างต้น แสดงสติปัญญาลุ่มลึกเสียเหลือประมาณ มีการเปรียบเทียบกับเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในคติทางพระพุทธศาสนาหรือแม้แต่ศาสนาพราหมณ์ฮินดูประกอบด้วย มีทั้งชาดกและอวตารปางต่างๆ

ที่สนุกสุดขีดสำหรับผม และตื่นเต้นยิ่งกว่าหนังแอนิเมชั่นเป็นไหนๆ คือข้อความตอนท้าย ที่ท่านขุนตั้งข้อแม้เงื่อนไขไว้รอบคอบชะมัด ขึ้นต้นตั้งแต่ขอให้ระลึกชาติได้ พร้อมมีคำอธิบายขยายความด้วยว่าการระลึกชาตินี้ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายเช่นว่านั้นแล้วได้ไปฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์ก็จะได้เกิดศรัทธาออกบวช

ทันใดที่เกิดอยากบวช เครื่องอัฐบริขารมีบาตรและจีวรเป็นต้นก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตาโดยไม่ต้องไปซื้อหา อารมณ์ประมาณว่าเทวดาจัดหามาถวายแบบเลื่อนลอยมาโดยนภากาศ

ขณะบวชนั้นเอง ในวินาทีที่กำลังปลงผม คือขั้นตอนการบวชยังไม่ทันสำเร็จเรียบร้อย ก็เกิดได้ดวงตาเห็นธรรม ตัดกิเลสได้หมดสิ้นจนบรรลุอรหัตผล ถึงพระนิพพานโดยไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

สาธุ!

อะไรมันจะรวดเร็วปานนั้นเจ้าข้าเอ๋ย

 

เห็นไหมครับว่าคำอธิษฐานของท่านรอบคอบแค่ไหน

ท่านไม่ได้มีจิตใจข้องแวะอยู่กับการถูกหวยที่นายบ่อนสมัยอยุธยาออกหวยเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็น่าจะเข้าใจได้ว่า ท่านไม่ได้ขาดแคลนทรัพย์สินเงินทองอะไรแล้ว สุขภาพเห็นจะแข็งแรงดี พอมีครบทุกอย่างแล้วก็ต้องอยากไปนิพพานเป็นธรรมดา

คนไทยส่วนใหญ่เวลานี้ เมื่อทำบุญแล้วตั้งจิตอธิษฐาน นอกจากขอให้ถูกหวยแล้ว อยากได้อะไรกันบ้างหนอ

น่าจะมีใครทำวิจัยเรื่องนี้บ้างนะ ผมว่าจะเป็นผลงานทางวิชาการที่น่าตื่นตาตื่นใจ และทำให้เรารู้จักและเข้าใจวิธีคิดของคนไทยสมัยนี้มากขึ้น พร้อมกับสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายแง่มุม

ทำวิจัยแรื่องนี้แล้วไม่ต้องไปซื้องานวิชาการบนเว็บไซต์ที่ไหนมาเป็นของตัวเองให้ขายหน้าแบบที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้ ดีไหมครับ

นักวิชาการท่านใดอยากจะลองทำบ้างโปรดยกมือขึ้น