ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2565 - 5 มกราคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | Agora |
ผู้เขียน | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์ |
เผยแพร่ |
ลาทีปีเสือ 2565 ปีที่เรียกว่าร้อนแรงดุดันไปทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และกีฬา
แค่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็มีโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลายครั้ง
เดือนพฤศจิกายนเกิดการสังหารหมู่ที่หนองบัวลำภูซ้ำรอยเหตุสะเทือนขวัญที่นครราชสีมาเมื่อปี 2563
ถัดจากเหตุหนองบัวลำภูได้เดือนเดียว เรือรบหลวงสุโขทัยก็อับปางจากการเผชิญคลื่นลมในอ่าวไทยแถบ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นำความสูญเสียทั้งแก่ชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินมิได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นี่อาจไม่ใช่เหตุสุดวิสัยทั่วไป แต่สืบเนื่องมาจากความบกพร่องภายในองค์กรที่เรื้อรังอยู่นานนมก็เป็นได้
ทั้งสามเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกิดจากทหารตำรวจทั้งสิ้น ซึ่งทำให้ความเชื่อถือศรัทธาต่อองค์กรเหล่านี้สั่นคลอนไปด้วย
นอกจากสามเหตุการณ์นี้ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสภาพความรุนแรงที่เกิดในสังคมไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทั้งปริมาณและระดับความรุนแรง
ที่น่ากลัวที่สุดคือสภาวะชินชาต่ออาชญากรรมที่เกิดอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้ความสิ้นหวังแพร่กระจายไปทั่ว
ผู้คนบางส่วนที่ลุกขึ้นสู้ก็หันมาจับอาวุธป้องกันตัวเอง แล้วประกาศอย่างเปิดเผยราวกับไทยแลนด์เป็นแดนมิคสัญญี
ตัวอย่างเช่น การปล้นร้านทองที่ จ.ตาก ในวันที่ 8 ธันวาคม ซึ่งจบลงด้วยการยิงขับไล่จากเจ้าของร้าน ทำให้ 1 ในโจรทั้งหมด 4 คน โดนกระสุนปืนจนบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นก็เกิดการถกเถียงกันทั่วอินเตอร์เน็ตว่าเจ้าของร้านป้องกันตัวเกินกว่าเหตุหรือไม่
ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เทไปที่การสนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าของร้านเสียมากกว่า
เรื่องนี้นำมาสู่ปรากฏการณ์เจ้าของร้านทองตามที่ต่างๆ ในประเทศออกมาประกาศศึกกับโจร ด้วยการโพสต์ภาพคู่กับปืนที่ร้านทองของตน กลายเป็นภาพสะท้อนความปลอดภัยในสังคมไทยสมัยนี้
เรียกได้ว่าเมืองไทยในปี 2565 กฎหมายเริ่มไร้ความหมายลงไปทุกที จนแทบไม่ต่างอะไรกับชีวิตเคาบอยในอเมริกายุคตะวันตกแดนเถื่อน หรือ The Wild West เมื่อรัฐเป็นที่พึ่งให้ไม่ได้ ประชาชนจึงต้องปกป้องตัวเอง ทำให้ปริมาณอาวุธปืนที่เดิมก็สูงอยู่แล้วยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปใหญ่
ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธปืนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก คือเป็นอันดับที่ 13 มีอาวุธปืนถือครองอยู่ประมาณ 10,300,000 กระบอก มากกว่าอิตาลี อิรัก ไนจีเรีย อิหร่าน โคลอมเบีย ยูเครน อัฟกานิสถาน เสียอีก
และเมื่อเทียบกับชาติอาเซียนด้วยกัน ไทยก็มีอาวุธปืนทิ้งห่างอันดับที่ 2 ไปแบบไม่เห็นฝุ่น คือมากกว่าฟิลิปปินส์ถึง 6,500,000 กระบอก ทั้งๆ ที่ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอาชญากรรมและความรุนแรงไม่น้อย
และที่น่าตกใจก็คือเกือบครึ่งของอาวุธปืนในไทยเป็นปืนเถื่อนที่ไม่มีทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คือประมาณ 4,100,000 กระบอก
ยังไม่รวมข่าวสะเทือนขวัญอีกนับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน ซึ่งปี 2565 นอกจากจะไม่ได้มีแนวโน้มที่ลดลงไปกว่าปีก่อนแล้ว ยังเหมือนจะทวีขึ้นอย่างมาก
สำหรับเหตุที่ไม่มีอาวุธปืนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็มีคดีฆ่ายัดถังในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งฆาตกรเป็นสาวอายุ 17 และเป็นหลานแท้ๆ ที่ฆ่ายายของตัวเอง โดยร่วมมือกับแฟนหนุ่มที่ไม่เคยเจอตัวจริงกันมาก่อนเลยในชีวิต
พอเดือนเมษายนก็เกิดคดีเด็กหญิงอายุ 14 ร่วมมือกับแฟนหนุ่มอายุ 16 ฆ่าแม่ของตัวเองที่กีดขวางทางรัก
ตุลาคมมีคดีแฟนหนุ่มฆ่าหั่นศพเซลส์สาวอย่างเลือดเย็นที่สมุทรปราการ
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแต่เป็นคดีที่เหี้ยมโหดและไตร่ตรองมาก่อนทั้งสิ้น นอกจากนั้น แต่ละรายยังดูไม่สะทกสะท้านต่อการกระทำของตนเท่าไหร่
ในส่วนคดีที่มีอาวุธปืนก็ถี่ยิบและส่อไปในทางบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่พอสมควร
เช่น เดือนพฤษภาคมมีชายคุ้มคลั่งยิงกลุ่มคนที่ตั้งวงดื่มเบียร์ที่ร้านขายของชำใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ตาย 2 เจ็บ 1 โดยไม่ได้ขัดแย้งโกรธเคืองอะไรกัน
พอมาถึงเดือนธันวาคมก็มีชายบุกไปอาละวาดในร้านขายของชำอีกเช่นกันแต่เป็นที่เพชรบุรี และเข้ายื้อแย่งปืนลูกซองของเจ้าของร้านจนโดนกระสุนปืนตายอยู่ตรงนั้น
กระทั่งล่าสุด 17 ธันวาคมนี้ก็มีชายคนหนึ่งไม่พอใจพ่อค้าร้านส้มตำปลาร้าบองแถบตลิ่งชัน เลยกลับไปเอาปืนมายิงใส่ร้านจนลูกค้าแตกหนีกระเจิดกระเจิง
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจกลางกรุง และมีหลักฐานในกล้องวงจรปิดอย่างชัดเจน แต่จนป่านนี้ตำรวจก็ยังจับชายคนนี้ไม่ได้
เพราะฉะนั้น หนึ่งในวาระแห่งชาติในปีกระต่าย 2566 คงหนีไม่พ้นการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและความรุนแรงในสังคมซึ่งกำลังเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาที่ผุดขึ้นมาโดดๆ แต่เป็นผลพวงจากอาการป่วยไข้ในสังคมไทยเนื่องจากมาจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปัญหาอาชญากรรม เพราะผู้คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกหาทางลืมตาอ้าปากไม่ได้ก็จะถูกบีบคั้นให้ก่อความรุนแรงรูปแบบต่างๆ หรือไม่ก็ประสบปัญหาทางจิต ติดยาเสพติด เลียนแบบพฤติกรรมผิดๆ หรือยึดถือค่านิยมที่ผิดเพี้ยน ฯลฯ
ในขณะที่การเมืองอันไร้ประสิทธิภาพและขาดธรรมาภิบาลก็จะทำให้สถาบันทางสังคมอื่นๆ เสื่อมทรุดไปด้วย
รัฐบาลที่บริหารประเทศมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อยู่มา 8 ปี จนเด็กกลายมาเป็นผู้ใหญ่ ย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบเหล่านี้ได้
ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเหตุสะเทือนขวัญทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นที่เทอร์มินอลโคราช หรือหนองบัวลำภู ก็ไม่มีการสอบสวนเอาผิดกับใครได้เลย นอกจากปล่อยให้เป็นความผิดของผู้กระทำเพียงคนเดียวที่ตายไปแล้ว
กระทั่งข่าวร้ายระดับโลกพวกนี้เลือนหายไปในที่สุด
การที่ปัญหาอาชญากรรมรุนแรงขึ้น โดยรัฐบาลและกลไกภาครัฐไม่สามารถควบคุมจัดการได้ ก็ยิ่งเพิ่มเชื้อไฟให้เกิดเหตุอาชญากรรมเพิ่มขึ้นไปอีก
สังคมสั่งสมความอยุติธรรมจนแปรสภาพเป็นกลียุค ผู้ร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมาย คนคุกเข้าๆ ออกๆ คุก คนถูกทำให้ผิด คนผิดทำให้ถูก คนตัวเล็กตัวน้อยถูกบดขยี้ คนใหญ่คนโตลอยนวลพ้นผิด คนจนถูกขูดรีด คนรวยยิ่งมั่งคั่งกอบโกย ความเหลื่อมล้ำแยกถ่างคนแต่ละชั้นออกจากกันจนกลายเป็นศัตรู
ทางออกจากปัญหาทั้งหมดอาจไม่สามารถทำได้โดยการแก้เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่คือการมองภาพรวมแบบไม่แยกส่วน ซึ่งอาจต้องเริ่มจากการปฏิรูปที่ภาคการเมือง แต่ไม่ใช่ด้วยการตั้งคณะกรรมการ หากคือการพยายามผลักดันสังคมการเมืองไทยให้ดำเนินไปอย่างถูกต้องตามครรลองที่ควรจะเป็น และให้กลไกความยุติธรรมได้ทำงานด้วยความยุติธรรม
เช่น บังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงธรรมและเป็นกลาง ไม่ออกกฎหมายที่มุ่งหวังจะเอาผิดใครคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่มุ่งหวังสร้างความยุติธรรมโดยทั่วไปให้สอดคล้องตามหลักการ ซึ่งหมายรวมไปถึงการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
รวมทั้งรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ให้มั่นคง ให้ทุกภาคส่วนสามารถไว้วางใจได้ว่ากลไกรัฐมีความแน่นอน เชื่อถือได้ โปร่งใส และคงเส้นคงวา ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะครบวาระอยู่รอมร่อแล้ว แต่จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ก็ยังไม่รู้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022