ที่สุดของฟุตบอลโลก 2022 กับ ‘เวิลด์คัพ’ ที่ดีที่สุดหนหนึ่ง

ที่สุดของฟุตบอลโลก 2022 กับ ‘เวิลด์คัพ’ ที่ดีที่สุดหนหนึ่ง

 

จบลงไปพร้อมกับภาพแห่งความประทับใจและบทพิสูจน์ว่า ลิโอเนล เมสซี่ คือนักเตะเบอร์ 1 ของโลก ณ พ.ศ.นี้ กับ ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศ กาตาร์

แน่นอนว่าตลอดเกือบ 30 วันที่ผ่านมา แฟนบอลได้ติดตามชมฟุตบอลที่มีความสนุกระดับ 10 กะโหลก และต้องบอกว่านี่คือฟุตบอลโลกครั้งหนึ่งที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอลเลยก็ว่าได้

แม้ว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ก่อนเริ่มขึ้น จะมีเสียงวิจารณ์อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการติดสินบนเพื่อให้เป็นเจ้าภาพ หรือกฎข้อห้ามต่างๆ ที่มีขึ้นระหว่างการแข่งขัน แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ต้องชมเจ้าภาพอย่างกาตาร์ ที่จัดออกมาได้ดี และเป็นภาพที่สวยงาม

โดยเฉพาะที่ต้องชมอย่างมากคือความเอ็นเตอร์เทนในสนาม ตั้งแต่พิธีเปิดที่ได้เห็น มอร์แกน ฟรีแมน มาร่วมแบบเซอร์ไพรส์ จนมาถึงพิธีปิดที่ทำมาได้สวยงามกระชับ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องชมเจ้าภาพแทบทั้งสิ้น

และที่สำคัญที่สุด นี่คือฟุตบอลโลกครั้งหนึ่งที่ขาวสะอาดมากๆ ทั้งเรื่องของการตัดสินด้วยระบบการตัดสินต่างๆ ที่นำมาใช้แล้วเกิดความกระจ่าง รวมไปถึงเรื่องราวนอกสนามที่ไม่มีการตีกันของแฟนบอลเลยแม้แต่ครั้งเดียว (อาจจะเป็นเพราะห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์ในเขตสนามแข่งขันด้วย)

แต่นี่ไม่ใช่แค่ความที่สุดเพียงอย่างเดียวของฟุตบอลโลกครั้งนี้ เราจะไปดูกันว่าที่สุดในแต่ละด้านของฟุตบอลโลกครั้งนี้ จะมีอะไรกันบ้าง

 

สมหวังที่สุด แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น ลิโอเนล เมสซี่ และพลพรรค “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา ที่สามารถคว้าแชมป์โลกมาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี และยังเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 3 ของพวกเขาอีกด้วย

ซึ่งคนที่สมหวังมากที่สุดก็ต้องเป็นเมสซี่อยู่แล้ว เพราะว่านี่คือแชมป์เดียวที่เขารอคอยมาทั้งชีวิต หลังจากพลาดแชมป์โลกเมื่อปี 2014 ไป ทั้งๆ ที่พาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้แล้ว แต่ครั้งนี้เขาก็สามารถปิดบัญชีถ้วยแชมป์ในตู้โชว์ของเขาได้สำเร็จ

ผิดหวังที่สุด ในแง่ของตัวผู้เล่นคงต้องยกให้กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ก่อนมาเขาเองไม่ต่างจากเมสซี่ ที่คาดหวังว่าจะปิดฉากชีวิตค้าแข้งตัวเองด้วยการคว้าแชมป์โลก แชมป์เดียวที่ยังไม่ได้เช่นกันส่งท้ายให้ได้ แต่สุดท้ายด้วยสภาพร่างกายและฟอร์มการเล่นที่โรยรา ทำให้เขาหลุดจากตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติ โปรตุเกส ด้วยซ้ำ และทีมก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไป

ส่วนทีมที่น่าผิดหวังที่สุดคงต้องยกให้กับ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียม ที่ก่อนมาคิดว่าพวกเขาจะมาทิ้งทวนยุคทอง และสามารถทะลุเข้าไปลุ้นแชมป์ได้ แต่พอสุดท้ายเล่นจริงๆ แล้ว นอกจากจะขุนไม่ขึ้น ยังมีปัญหาภายในทีม นักเตะออกมาจวกกันเอง จนตกรอบแรกไปโดยปริยายอีก

ม้ามืดที่สุด รางวัลนี้จะเป็นทีมใดไปไม่ได้นอกจาก “สิงโตแอตลาส” โมร็อกโก ที่สร้างสถิติเป็นชาติจากแอฟริกันทีมแรกที่สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ ด้วยผลงานที่ต้องบอกว่าทำได้น่าประทับใจ ทั้งถีบเบลเยียมตกรอบแรก, สอย สเปน ตกรอบ 16 ทีม และส่งโปรตุเกสกลับบ้าน

ประกาศศักดาให้รู้เลยว่าทีมจากแอฟริกาไม่ธรรมดาแล้วนะจ๊ะ

 

แมตช์พลิกล็อกที่สุด คงต้องพูดถึงนัดที่ “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดีอาระเบีย พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะอาร์เจนตินา 2-1 ในนัดแรกของกลุ่มซี เพราะก่อนเกมนี้ทีมจากเอเชียโดนตบมาตามไหล่ทาง ทั้งกาตาร์แพ้เอกวาดอร์ และอิหร่านโดนอังกฤษถล่ม ทำให้คนคิดว่าซาอุฯ เองก็ไม่น่าจะรอด แถมโดนนำเร็วตั้งแต่ต้นเกม

แต่ที่ไหนได้ กลยุทธ์วางกับดักล้ำหน้าของพวกเขาเล่นงานอยู่หมัด และขอแค่ 2 จังหวะจะจะ กลายเป็นประตูชัยให้ทีมพลิกมาชนะสำเร็จ และบันทึกว่านี่คือทีมเดียวในทัวร์นาเมนต์ที่เอาชนะแชมป์ได้ด้วย #เจ๋งสุด

พลิกผันที่สุด สถานการณ์การชิงเข้ารอบกันของกลุ่มอี ถูกจัดให้อยู่ในความมันระดับ 10 กะโหลกไปเลย เพราะก่อนเกมทุกทีมมีลุ้นเข้ารอบหมด หลังจากเริ่มเกมมาทุกอย่างดูจะเป็นใจให้สเปนกับ เยอรมนี กอดคอกันเข้ารอบ

แต่สถานการณ์ก็มาพลิกผันช่วงครึ่งหลังเมื่อ ญี่ปุ่น กับ คอสตาริกา แซงนำได้ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ได้ประตูจากที่ลูกยังคาบเส้นแค่ 0.88 มิลลิเมตรเท่านั้น! ซึ่งสถานการณ์ตอนนั้นสเปนกับเยอรมนีจะตกรอบคู่ แต่สุดท้ายเยอรมนีก็มายิงแซงชนะคอสตาริกา กอดคอกันตกรอบไป

เซอร์ไพรส์ที่สุด ในทัวร์นาเมนต์ที่มีความเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นอย่างมากมาย แต่ที่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์ที่สุดคือฟอร์มการเล่นของ อองตวน กรีซมันน์ ที่ภาพจำของเรามักจะเป็นกองหน้าหรือหน้าต่ำ ที่มีหน้าที่เล่นเกมรุก ทำประตูให้กับทีม ซึ่งช่วงหลังฟอร์มของกรีซมันน์ตกลงไปมาก

แต่ในทัวร์นาเมนต์นี้ถูกปรับให้มาเป็นกองกลางแบบบ็อกซ์ทูบ็อกซ์แล้วแจ้งเกิดสุดๆ กลายเป็นกำลังสำคัญให้ทีมจนผ่านมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้

 

เกมที่สนุกที่สุด ไม่มีเกมไหนในฟุตบอลโลกครั้งนี้จะสนุกไปกว่านัดชิงชนะเลิศอีกแล้ว เพราะมันเป็นเกมที่เหมือนจะจบ แต่ก็ไม่จบ สถานการณ์พลิกไปมา ตั้งแต่ที่อาร์เจนตินาขึ้นนำ 2-0 แล้วเกมไปถึงนาที 79 แบบที่ฝรั่งเศสแทบไม่มีโอกาสยิงด้วยซ้ำ แต่เพียง 97 วินาที คีเลียง เอ็มบัปเป้ ก็ตีเสมอให้กับ ฝรั่งเศส ได้จนเกมต้องยืดเยื้อ

ขนาดในช่วงต่อเวลาพิเศษยังมีดราม่าอีกเพราะอาร์เจนตินาขึ้นนำจากเมสซี่ในนาทีที่ 108 ถ้าว่ากันตามภาพมันน่าจะจบลงตรงนั้น แต่เอ็มบัปเป้ก็ยังมากดแฮตทริกตีเสมอนาที 118 ทำให้เกมกลับมาเสมอกัน

และนั่นก็ก่อให้เกิด เซฟแห่งทัวร์นาเมนต์ ของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ที่ออกมาบล็อกลูกยิงของ ร็องดาล โคโล่ มูอานี ในช่วงนาทีสุดท้ายของทดเวลาบาดเจ็บ ถ้าไม่มีเซฟนี้อาจจะทำให้ฝันของเมสซี่ไม่เป็นจริงไปแล้วก็ได้ และยังมาช่วยเซฟจุดโทษของคิงส์ลีย์ โคมัน พาคว้าแชมป์สำเร็จอีก

เอาจริงๆ ที่ทำมานี่ยังไม่หมดความเป็นที่สุดของฟุตบอลโลกครั้งนี้เลย ต้องบอกว่าเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีอะไรให้น่าจดจำเยอะมากจริงๆ และสามารถพูดไปได้อีก 4 ปี จนถึงฟุตบอลโลกครั้งต่อไปที่สหรัฐ-แคนาดา-เม็กซิโก เลยก็ว่าได้

เพราะ 4 ปีมันไว กะพริบตาเดียว เดี๋ยวก็ถึง 2026 แล้ว!!!! •

 

เขย่าสนาม | เด็กเก็บบอล

[email protected]