เปิดข้อชี้แจง ‘ผบ.ตร.’ โต้ชูวิทย์ปมจีนสีเทา บิ๊กโจ๊กสั่งสอบ สตม. เพื่อนร่วมรุ่นก็ไม่เว้น

บานปลายไปใหญ่โตแน่นอนแล้ว สำหรับประเด็นเรื่องทุนจีนสีเทา ที่มี “ตู้ห่าว” นักธุรกิจชาวจีนสัญชาติไทยเป็นตัวละครสำคัญ

ที่แม้จะมีการจับกุมดำเนินคดี อายัดทรัพย์ไว้ตรวจสอบกว่า 5 พันล้านบาท ดำเนินคดีผู้ต้องหาร่วมร้อยราย แต่ก็ดูจะไม่จบง่ายๆ

เมื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” นักแฉ ที่เกาะติดเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ยังออกมาติดตามความคืบหน้า พร้อมเปิดเผยข้อมูลที่น่าสงสัยว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่ออายุวีซ่าให้กลุ่มชาวจีนเหล่านี้ และยังมีสมาคมเถื่อนขอออกวีซ่านักศึกษาให้

แถมยังมีนายตำรวจที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของรอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นผู้บังคับบัญชาในขณะนั้น

กลายเป็นคำถามว่า สรุปแล้วการขยายอิทธิพลของทุนจีนสีเทา มีคนสีกากีเข้าไปมีส่วนเกื้อหนุนหรือไม่อย่างไร

รวมทั้งการดำเนินคดีที่ไม่ได้แจ้งข้อหาฟอกเงิน และตั้งข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ จนอาจนำไปสู่การหลุดคดีของ “ตู้ห่าว” ได้

จึงเป็นเรื่องที่ ผบ.ตร.ต้องออกมาการันตีว่าคดีนี้ไม่มีมวยล้ม ทุกอย่างทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย

ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรคงต้องรอดูบทสรุปในอนาคต!!!

ชูวิทย์แฉตม.

แฉ ตร.ช่วยวีซ่าทุนจีนสีเทา

ยังคงเดินหน้าแฉอย่างไม่สิ้นสุด สำหรับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ติดตามเรื่องทุนจีนสีเทาเรียกว่ากัดไม่ปล่อย และเปิดข้อมูลที่น่าตระหนกว่าน่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือให้ทุนจีนสีเทาเฟื่องฟูในประเทศได้

โดยเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม นายชูวิทย์ได้เปิดแถลงซัดไปถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ว่าคอยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทา ในรูปแบบขบวนการแปลงวีซ่า จากวีซ่าท่องเที่ยว เป็นวีซ่าสำหรับประกอบธุรกิจ หรืออาสาสมัครมูลนิธิ โดยติดต่อผ่านคนกลาง สำนักงานกฎหมายชาวจีนที่ว่าจ้างคนไทย และรูปแบบบุคคล เพื่อไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิปรานต์ ฮั่นอวี ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการศึกษาภาษาจีนของเด็กและเยาวชน

ซึ่งการเปลี่ยนวีซ่าดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายกับ ตม.รายละ 100,000-300,000 บาท

ระหว่างปี 2563-2564 มีการอนุมัติให้ผู้เปลี่ยนประเภทวีซ่าแล้วกว่า 3,325 ราย ซึ่งนายตำรวจดังกล่าวมียศ พล.ต.ต.ถึง 3 นาย เป็นอดีต ผบก.ตม.4 และ ตม.5 โดยในนี้มี 2 นายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) 47 กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และมูลนิธิอื่นรวม 6 แห่งเกี่ยวข้อง

ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม นายชูวิทย์ก็เดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือถึง น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด เพื่อขอให้รับคดี “ตู้ห่าว” ในเรื่องยาเสพติดเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพื่อให้อัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ทำคดีแทนพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา

โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้อัยการที่มีความแม่นยำข้อกฎหมายมากกว่าเข้ามาทำหน้าที่แทนตำรวจ รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่แจ้งข้อหาฟอกเงิน ที่เป็นความผิดมูลฐานคดียาเสพติด ซึ่งทำให้นอมินีที่ถือทรัพย์สินแทน มีเส้นทางโอนเงินชัดเจนถูกกันเป็นพยาน ไม่ถูกดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินด้วย

ทำให้ไม่มั่นใจในการทำงานของตำรวจ กังวลว่าการไม่แจ้งข้อหาฟอกเงิน เมื่อถึงชั้นศาลอาจจะหลุดคดี ในชั้นฎีกาอาจมีการยกฟ้องจนกลับมาเป็นโจทก์ไล่ฟ้องกลับได้

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อ 13 ธันวาคม นายชูวิทย์เข้าพบ พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ รองจเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.เจนกมล คำนวล ผบก.กองตรวจราชการ 8 เพื่อให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4 และ 5 พร้อมแฉว่ามีตำรวจ ตม.คนหนึ่ง ขับรถหรูปอร์เช่ มีคอนโดฯ หรูย่านหลังสวน ซึ่งตั้งคำถามว่าทำไมถึงมีทรัพย์สินเหล่านี้ได้

พร้อมระบุอีกว่า มีคนติดต่อมาขอให้ละเว้นส่งรายชื่อให้ตรวจสอบ แต่ไม่สามารถละเว้นได้ พร้อมเดินหน้าเอาผิดผู้เกี่ยวข้องแม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ตาม

เป็นปฏิบัติการเกาะติดอย่างแท้จริง!!!

บิ๊กโจ๊กแจงทำเต็มที่

‘บิ๊กโจ๊ก’ รับมี ตม.นอกแถว

อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องดังกล่าวจะพุ่งเป้าไปที่นายตำรวจนอกแถวที่รู้เห็นเป็นใจให้กับขบวนการทุนจีนสีเทาเบ่งบานขึ้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นแค่ข้อกล่าวหา

โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. ชี้แจงว่า รื่องของการอยู่ต่อเป็นบริบทส่วนหนึ่งในเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับคนต่างด้าวที่มีความประสงค์ที่จะอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีหลักเกณฑ์ อย่างไทยแลนด์อีลิท หรือบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นผู้ออกบัตร

สตม.มีหน้าที่กรณีที่คนต่างด้าวได้รับบัตรนี้มา จะตรวจสอบว่าเป็นคนที่ได้รับบัตรมาถูกต้องหรือไม่ เป็นบุคคลต้องห้ามหรือไม่ ถ้าได้รับบัตรมาอย่างถูกต้อง เป็นไปตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และไม่เป็นบุคคลต้องห้าม ไม่อยู่ในบัญชีของ สตม.ที่ห้ามเดินทางเข้าประเทศหรือกรณีมีหมายจับ สตม.ต้องให้เขาอยู่ต่อ

“สตม.อนุญาตคนที่มีคุณสมบัติครบและไม่เป็นบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศ แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะมาทำผิดหรือทำถูก หากเขาทำผิดก็ต้องใช้การบังคับกฎหมายไปจับกุมให้ได้เร็วที่สุด”

ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมวีซ่านักศึกษาถึงออกได้ทั้งที่อายุ 50 กว่าๆ ก็เคยพูดกันว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องที่ทำได้ตลอดชีวิต การกำหนดอายุไปจำกัดจะเหมาะสมหรือไม่ ก็ต้องไปหารือกัน อย่างไรก็ตาม จะตั้งคณะกรรมการทบทวนหลักเกณฑ์การขออยู่ต่อในราชอาณาจักรต่อไป

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ชี้แจงเรื่องคดีฟอกเงินว่าอยู่ระหว่างรอหลักฐานเส้นทางการเงินจากธนาคารเพื่อนำมาแจ้งข้อกล่าวหา เชื่อว่าดำเนินคดีฐานฟอกเงินได้แน่ แต่เรื่องคดีความผิดนอกราชอาณาจักร ยังไม่ปรากฏหลักฐาน โดยยาเสพติดแฮปปี้วอเตอร์ นั้นก็เป็นยาเสพติดที่ผสมขึ้นมาเองง่ายๆ ในประเทศ ไม่ได้นำเข้า จึงยังถือเป็นความผิดในราชอาณาจักรเท่านั้น

พร้อมยอมรับว่า หลังมีข่าวว่ามีตำรวจ ตม.เข้าไปเกี่ยวข้อง ได้เรียกมาสอบสวน หัวหน้าสถานีตรวจคนเข้าเมือง 27 แห่ง และจากการสอบสวนบางนายร้องไห้ขณะถูกสอบเพราะจำนนต่อหลักฐานที่พบการให้อนุญาตอยู่ในไทย ซึ่งเชื่อว่ามีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่เกี่ยวข้องมากกว่า 27 นาย ผู้ที่มีลายเซ็นเกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีทั้งหมด รวมถึงนายพลที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น หากมีข้อมูลเกี่ยวข้องก็ไม่ละเว้นแน่นอน

“ยืนยันไม่มีตำรวจคนไหน ไม่มีพนักงานสอบสวนคนไหนกล้านอกแถว ถ้าผมยังกำกับดูแล”

เป็นคำสัญญาที่ชัดเจนจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

คดีตู้ห่าวบาน

‘บิ๊กเด่น’ ยันไม่มีมวยล้ม

เช่นเดียวกับ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ที่ออกมาให้ความมั่นใจอีกชั้นว่าคดีทุนจีนสีเทานี้ตรงไปตรงมาแน่นอน พร้อมระบุว่า นายชูวิทย์อาจจะมีการเข้าใจผิดในหลายเรื่อง ทำให้ไม่มั่นใจในตำรวจขึ้นมา พร้อมแจงตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่คดีผับจินหลิง ซึ่งเกิดจากการสืบทางลึกของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และเข้าจับกุมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก ตรวจสารเสพติด เบื้องต้นเป็นผลบวก 104 คน

ทั้งหมดไปที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์เพื่อตรวจยืนยันผล ทางโรงพยาบาลได้ยืนยันผลมา 77 ราย รับสารภาพ 66 ราย ส่งฟ้องศาล ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ 11 ราย โดยมี 1 รายได้ประกันตัว และหลบหนี 1 ซึ่งทั้งหมด 76 รายอยู่ระหว่างการควบคุมตัวของทางการ ส่วนใหญ่ที่เป็นคนจีนต้องรอส่งกลับเมื่อคดีเสร็จสิ้น ทุกอย่างทำอย่างตรงไปตรงมา

ซึ่งหลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.น.6. ที่เพิ่งมาดำรงตำแหน่ง ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ไปร่วมตรวจสอบในที่เกิดเหตุด้วย และไม่ได้ให้ สน.ยานนาวา ทำโดยลำพัง ต่อมาตนเห็นว่าคดีนี้เป็นที่น่าสนใจ และเป็นคดีที่อาจจะมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับคดีต่างๆ จึงแต่งตั้งคณะทำงาน โดยมี ผบช.น.เป็นหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนสอบสวน

จากนั้นมอบหมายให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์เป็นหัวหน้ากำกับดูแลงานสืบสวนสอบสวนด้วย ซึ่งท่านสามารถมีอำนาจเต็ม มั่นใจว่าคดีนี้ไม่ใช่เป็นคดีมวยล้มต้มคนดู

ส่วนคดีฟอกเงิน ต้องชี้แจงว่าคดียาเสพติด ป.ป.ส.สามารถยึดทรัพย์และอายัดทรัพย์ได้ครอบคลุมอยู่แล้ว ปปง.ก็จะตรวจสอบต่อ และภาระการพิสูจน์ทรัพย์ เป็นของตู้ห่าว ที่จะต้องแสดงว่าได้ทรัพย์สินมาอย่างไร ถูกต้องหรือไม่

ด้านคดีนอกราชอาณาจักรนั้นเห็นว่ายังเป็นคดีในราชอาณาจักร ที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ และจะทำอย่างตรงไปตรงมา ได้ขอความร่วมมือสำนักงานอัยการคดียาเสพติดแล้ว ยืนยันว่าการปราบปรามยาเสพติดเป็นนโยบายที่ให้ไว้ และไม่ใช่ดูแค่รายเดียว แต่จะต้องดูทุกมิติ

คดีนี้หากนับจุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่บุกจับผับจินหลิง ได้ขอหมายจับช่วงวันที่ 22-23 พฤศจิกายน ใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ ทุกอย่างมีความคืบหน้า ยืนยันไม่ได้เกรงกลัวอิทธิพลของตู้ห่าว แบบที่นายชูวิทย์กล่าวหา ไม่มีมวยล้มแน่นอน

เป็นคำยืนยันที่เวลาและผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์!!!