‘ลุงมิ่ง’ เซอร์ไพรส์ ‘ลุงป้อม’ เปิดดีลแคนดิเดตนายกฯ เจอกระแสต้านใน พปชร. โยงกลุ่ม ‘ธรรมนัส’ คัมแบ๊ก

“ที่พลังประชารัฐจะเอามิ่งขวัญเข้าไปเป็นทีมหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ผมพนันได้เลยว่าต้องเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ต่อจากบิ๊กป้อม รับหรือไม่ ไม่รู้ แต่ใช่แน่นอน ผมรู้จักดี ไม่อย่างนั้นมิ่งขวัญคงไม่ไปที่นี่หรอกถ้าไม่มีดีลนี้ ที่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ”

โทนี่ วู้ดซัม กล่าวผ่าน CareTalk x Care ClubHouse เมื่อค่ำวันที่ 6 ธันวาคม ไม่กี่ชั่วโมงภายหลังพรรคพลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค แถลงเปิดตัวนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐ

หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีตราประทับรับรองระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ สูตรหาร 100 บรรยากาศความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคส่วนใหญ่ก็คึกคักขึ้นทันตา

แต่ก็มีบางพรรคที่ชะงักงันไปชั่วคราว โดยเฉพาะขนาดเล็ก ไปจนถึงพรรคตั้งใหม่ ที่รู้ตัวว่าอาจเสียเปรียบจากกฎกติกาที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเลือกตั้งปี 2562

ทำให้ต้องมาคิดคำนวณปรับกลยุทธ์กันใหม่อีกรอบหากต้องการเอาตัวรอดในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าปี 2566 รวมถึงบรรดานักการเมือง ส.ส. อดีต ส.ส.ที่เตรียมย้ายพรรคก็อาจต้องพินิจพิจารณาให้ถ้วนถี่ ถึงอนาคตว่ามีความสุ่มเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

ขณะที่พรรคแกนหลักรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ก็มีความเคลื่อนไหวน่าสนใจไม่น้อยว่าจะนำพรรคไปทางใดในสมรภูมิการแข่งขันช่วงชิงคะแนนเสียงจากประชาชน โดยเฉพาะการได้ “ลุงมิ่ง” นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เข้ามาเป็นสมาชิกเติมเต็มทีมเศรษฐกิจของพรรค แต่จะได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ร่วมกับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่แบเบอร์อยู่ก่อนแล้วด้วยหรือไม่ ตรงนี้เป็นปัญหาภายในที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจากคณะกรรการบริหารพรรค

การปุบปับเปิดตัวเข้าพรรคพลังประชารัฐของนายมิ่งขวัญ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ถูกมองเป็นการย้ายจากฝั่งประชาธิปไตย มาอยู่กับพรรคฝ่ายอำนาจ

อย่างไรก็ตาม เหตุผลสำคัญที่พรรคพลังประชารัฐทาบทามดึงนายมิ่งขวัญเข้ามาร่วมงานการเมือง เพื่อแก้ไข “จุดอ่อน” ของพรรคที่ขาดมือขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้งที่ใกล้มาถึง

เพราะหลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นำอดีตรัฐมนตรีกลุ่ม 4 กุมาร คือ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ลาออกจากสมาชิกพรรค พลังประชารัฐก็แทบไม่เหลือคลังสมองด้านเศรษฐกิจอีกเลย

การมาของ “ลุงมิ่ง” จึงช่วยแก้โจทย์ตรงนี้ให้พรรค “ลุงป้อม”

การมาเติมเต็มทีมเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ที่ทำเอาแม้กระทั่งคนในพรรคเองก็ยังเซอร์ไพรส์ คือการออกตัวแรงของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ต่อสถานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

เซอร์ไพรส์ถึงขนาดที่กรรมการบริหารพรรคไม่เคยมีใครรู้มาก่อนถึงประเด็นนี้

การเปิดตัวของนายมิ่งขวัญกับพรรคพลังประชารัฐ จัดขึ้นอย่างครึกโครม ท่ามกลางรัฐมนตรีและกรรมการบริหารพรรคมาร่วมเป็นสักขีพยาน

นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลังและเลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรค

นายมิ่งขวัญเปิดใจเหตุผลที่มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐว่า ต้องให้เครดิต พล.อ.ประวิตร และขอบคุณที่ให้เกียรติเชิญมาร่วมงานกัน โดยพรรคพลังประชารัฐต้องการให้มาช่วยเติมเต็มในเรื่องเศรษฐกิจ

เหตุผลที่สองคือ ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในพรรคนี้แล้ว ซึ่งความจริง พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยอยู่ เพียงแต่เป็นแคนดิเดตนายกฯ เท่านั้น

ยืนยันไม่มีปัญหากับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ตลอด 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา ท่านถือเป็นนายกฯ แต่แก้ปัญหาประเทศไม่สำเร็จ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาโควิดจนมีผู้เสียชีวิต 2 หมื่นกว่าคน ทำให้ต้องตรวจสอบการทำงาน

“ต้องฝากไปบอก พล.อ.ประยุทธ์ด้วยว่า ผมไม่สามารถร่วมอุดมการณ์กับท่านได้”

นายมิ่งขวัญชี้แจงด้วยว่า บางคนอาจคิดว่าทำไมไม่รักษาคำพูด คำว่าตระบัดสัตย์ และคำว่าไม่รักษาคำพูด จึงอยากชี้แจงให้ชัด รวมทั้งตอนที่ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ก็ไม่ได้บอกว่าการลาออกต้องยุติบทบาททางการเมือง

การมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันไม่มีเรื่องผลประโยชน์แน่นอน ไม่มีการเจรจาเรื่องเงินทองแม้แต่บาทเดียวเพราะไม่ใช่คนแบบนั้น

เหตุผลที่ตัดสินใจมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ประการแรก ต้องการมาช่วยประชาชนที่เดือดร้อน ประการที่สอง การเข้ามาจะไม่ขอเป็นกรรมการบริหารพรรค แต่เข้ามาเพราะถนัดเศรษฐกิจ

และประการที่สาม สำคัญที่สุดคือ ต้องออกดีเบตในสงครามการเลือกตั้งที่จะมาถึง

“พล.อ.ประวิตรบอกกับผมว่า ถ้ามิ่งขวัญจะออกดีเบต คุณต้องมีตำแหน่งที่จะออกไปดีเบตคือ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ เท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ดีเบต จึงเป็นประโยคสำคัญ โดย พล.อ.ประวิตรบอกจะพิจารณาและนำเข้าวาระคณะกรรมการบริหารพรรค ให้ผมเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพลังประชารัฐ” นายมิ่งขวัญระบุ ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ พล.อ.ประวิตรที่นั่งอยู่ข้างกัน พร้อมกล่าวขอบคุณที่ให้โอกาส เพื่อเป็นตัวแทนในการดูแลปากท้องประชาชน และด้านเศรษฐกิจ

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรยืนยันถึงสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคพลังประชารัฐว่า “พล.อ.ประยุทธ์ไปแล้ว ออกไปแล้ว”

ส่วนในประเด็นที่ว่า นายมิ่งขวัญจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ แทน พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ “ยังไม่รู้ๆ ยังไม่ได้ประชุมกันเลย ต้องแล้วแต่สมาชิกพรรค และรอกรรมการบริหารพรรคพิจารณา

ผมคนเดียวทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพรรคเหมือนกัน ต้องรอกรรมการบริหารพรรค” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกล่าว

การเปิดตัวนายมิ่งขวัญในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ เป็นอีกเรื่องสุดเซอร์ไพรส์

เซอร์ไพรส์แม้กระทั่งรัฐมนตรีพรรค และกรรมการบริหารพรรคเองที่นั่งอยู่กลางวงแถลง เนื่องจากไม่มีใครทราบเรื่องนี้มาก่อน ทุกคนทราบเพียงว่านายมิ่งขวัญจะเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเท่านั้น

เนื่องจากการพิจารณาตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรคก่อน

แต่การชิงจังหวะออกตัวแรงของนายมิ่งขวัญ โดยอ้างถึงข้อตกลงจากการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร แบบสองต่อสอง มาเปิดเผยในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถือเป็นการเริ่มต้นกับพรรคใหม่ไม่ค่อยดีนัก

นำมาสู่ความเคลื่อนของกลุ่ม ส.ส.พลังประชารัฐ ที่ได้รับสัญญาณจากผู้ใหญ่ในพรรค ออกมาแสดงปฏิกิริยาในทางลบต่อนายมิ่งขวัญ

“เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน ส่วนตัวมองนายมิ่งขวัญเป็นคนมีความรู้ความสามารถ แต่การจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต้องขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรค ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว” นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ รอง ผอ.พรรคพลังประชารัฐ ระบุ

เช่นเดียวกับนายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่ต่อสายไปขอไฟเขียวจาก พล.อ.ประวิตร ชี้แจงเรื่องนี้ว่า การแถลงข่าวของนายมิ่งขวัญ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ทุกเรื่องต้องผ่านกลไกที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค

ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในการแถลงข่าวของนายมิ่งขวัญ ไม่ได้ผูกพันอะไร ยืนยันทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนและกลไกของพรรค ทุกอย่างต้องผ่านการประชุม ไม่ใช่การแถลง

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแค่วันแรกหลังการเปิดตัว การที่นายมิ่งขวัญจะก้าวขึ้นสู่จุดหมายที่วาดหวัง ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

หากย้อนกลับไปดูเส้นทางนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ กับพรรคพลังประชารัฐ ก็จะเห็นถึงจุดเชื่อมโยงบางอย่าง

23 พฤษภาคม 2562 นายมิ่งขวัญประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ สืบเนื่องจากตนเองกับลูกพรรคมีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ยังไม่ลาออกจาก ส.ส.

ต่อมาในการอภิปรายซักฟอกรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายมิ่งขวัญก็ได้ประกาศลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในระหว่างการอภิปรายในสภา

ต่อมา นายมิ่งขวัญได้รับการทาบทามให้ไปร่วมงานจากหลายพรรคการเมือง หนึ่งในนั้นมีพรรคเศรษฐกิจไทย ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เป็นหัวหน้าพรรคในตอนนั้น

แม้ดีลนี้จะไปได้ไม่สุดทาง แต่หากสืบสาวความสัมพันธ์ “มิ่งขวัญ-ธรรมนัส” มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งทำงานร่วมกันในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งมี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯ ในตอนนั้น

และเมื่อ ร.อ.ธรรมนัสไม่สามารถขับเคลื่อนพรรคเศรษฐกิจไทยให้ไปต่อได้ ประกอบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมตัดสินใจย้ายไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ รอบหน้าให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ

เมื่อ “ลุงตู่” เตรียมไปอยู่พรรคตั้งใหม่ ร.อ.ธรรมนัสจึงติดต่อนำ ส.ส.ในกลุ่มที่เหลืออยู่ประมาณ 10 คน กลับมาฝากผีฝากไข้อยู่กับ พล.อ.ประวิตร ที่บ้านหลังเก่าพรรคพลังประชารัฐ ในเวลาใกล้เคียงกับการแถลงเปิดตัวนายมิ่งขวัญ

การที่ ส.ส.พรรคบางส่วนมีปฏิกิริยาต่อต้านนายมิ่งขวัญเป็นแคนดิเดตนายกฯ ยังเป็นปฏิกิริยาเกิดขึ้นในท่วงทำนองเดียวกันต่อกระแสข่าวการกลับมาของ ร.อ.ธรรมนัสด้วยเช่นกัน

เหตุหนึ่งอาจเป็นความสงสัยคลางแคลง ไม่แน่ใจการมาแบบปุบปับของนายมิ่งขวัญ อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับ ร.อ.ธรรมนัส หรือมีเบื้องหลังซับซ้อนกว่าเหตุผล 3 ประการที่นายมิ่งขวัญแถลงไว้ในวันเปิดตัวหรือไม่

บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้ติดตามอย่างยิ่ง ชะตากรรมของ “ลุงมิ่ง” ในพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นอย่างไรต่อไป

เพราะแค่เริ่มต้นก็ไม่ราบรื่นเสียแล้ว