อาชญากรรม : ผลดีเอ็นเอกะโหลกชัด ส่งผู้กองเหน่งนอนคุก ฆ่ารัดคอ ผอ.อ้อยหมกป่า พ่อร่ำไห้-ไม่เผาศพลูก

ดูท่าจะไม่มีโอกาสที่คดีจะพลิกผันได้อีกแล้ว

เมื่อผลตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ กะโหลกและโครงกระดูกที่พบอยู่ใกล้ฐานทหาร ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

ยืนยันชัดเจนว่าเป็นของ “ผอ.อ้อย” ที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2560

เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกเพื่อแจ้งข้อหา “ผู้กองเหน่ง” เพื่อนชายคนสนิท ที่มีหลักฐานว่าเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันกับ ผอ.อ้อย

ในข้อหาเจตนาฆ่า และซ่อนเร้นอำพรางศพ

พร้อมยื่นศาลเพื่อขอถอนประกัน แล้วส่งตัวไปนอนเรือนจำ

สร้างความยินดีให้กับครอบครัว ที่อุตสาหะบุกป่าฝ่าดงติดตามจนเจอกระดูกของ ผอ.อ้อย

พิสูจน์ชัดเจนว่าเสียชีวิต เพื่อดำเนินคดีกับผู้ลงมือฆ่า ทวงความยุติธรรมให้กลับคืนมา

ผู้กองเหน่งซีด-นอนคุก

หลังจากที่ครอบครัวของ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย ผอ.กองการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 พบหัวกะโหลกและโครงกระดูก ห่างจากฐานอนุพงษ์ ต.โคมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังพบเส้นผม เข็มขัด หัวเข็มขัดข้าราชการ และเสื้อผ้าของผู้หญิง สเตย์รัดหน้าท้อง และนาฬิกาที่สามีและญาติยืนยันชัดเจนว่าเป็นของ ผอ.อ้อย

และเพื่อความแน่นอนจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่รับทราบ ก่อนจะส่งต่อให้สถาบันนิติเวชตรวจสอบ

ในที่สุดเมื่อผลตรวจออกมาความจริงก็ปรากฏ ว่าแท้ที่จริงโครงกระดูกเหล่านั้นก็คือ ผอ.อ้อยนั่นเอง!??

โดย พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. ที่ลงเกาะติดคดีนี้ เปิดเผยว่า สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ยืนยันว่าผลการตรวจดีเอ็นเอตรงกัน จากการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากกระพุ้งแก้มของพ่อและแม่ ผอ.อ้อย เทียบกับดีเอ็นเอที่ได้จากกะโหลกและกระดูกต้นขา

จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรลักษ์ ก็ต้องเรียกตัว ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี มาแจ้งข้อหาเจตนาฆ่าและซ่อนเร้นอำพรางศพเพิ่มเติม

จนกระทั่งเช้าวันที่ 30 ตุลาคม ผู้กองเหน่งเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนที่ บก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยผู้กองเหน่งแต่งกายเครื่องแบบทหารเต็มยศ ใช้บันไดหลังอาคารขึ้นตึก เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับญาติของ ผอ.อ้อยที่ดักรออยู่ด้านหน้า

หลังสอบปากคำนาน 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็แจ้งเพิ่มอีก 2 ข้อหา จากเดิมที่แจ้งไว้ 8 ข้อหา รวมทั้งหมดโดน 10 ข้อหาหนัก

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและนายทหารพระธรรมนูญก็ควบคุมตัวผู้กองเหน่งขึ้นรถไปฝากขังที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ พร้อมยื่นถอนประกัน เนื่องจากเป็นข้อหาหนักมีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

นอกจากนี้ ญาติยังกังวลว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน

โดยเมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวผู้กองเหน่งออกมา ก็มีสีหน้าถอดสีชัดเจน เมื่อเจอญาติของ ผอ.อ้อยเข้ามาชี้หน้าถามว่าฆ่า ผอ.อ้อยทำไม พร้อมสาปแช่งให้ตายตกไปตามกัน

หลังสอบพยานหลายชั่วโมง ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ก็มีคำสั่งถอนประกัน เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ และเกรงว่าจะหลบหนี พร้อมส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำอำเภอกันทรลักษ์

รอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

พ่อแม่ยันยังไม่เผาศพ ผอ.อ้อย

หลังจากที่รับทราบว่าโครงกระดูกมนุษย์ที่พบเป็นของ ผอ.อ้อยจริง แม้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ นายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี นางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 60 ปี พ่อและแม่จะเสียใจอย่างมาก แต่อย่างน้อยก็โล่งใจที่ในที่สุดภารกิจค้นหาร่างของ ผอ.อ้อยที่ยืดเยื้อยาวนานมานับเดือนก็สิ้นสุดลง

ซึ่งต้องยอมรับน้ำใจและความมุ่งมั่นของครอบครัวอุ่นอ่อน ที่แม้การค้นหาในช่วงแรกของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องถอนตัวออกไป แต่ครอบครัวก็ยังไม่หมดหวัง เดินหน้าค้นหาด้วยตัวเอง พร้อมประกาศจะให้เงินรางวัล 1 แสนบาทแก่คนที่ให้เบาะแส

ทั้งพึ่งพรานป่าที่เชี่ยวชาญเส้นทาง และไสยศาสตร์ตามที่จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจได้

ดั้นด้นตามไปจนถึงชายแดนไทย-ลาว ที่ไหนที่อ้างว่าพบศพนิรนามก็เดินทางไปตรวจสอบทั้งหมด

ในที่สุดก็สามารถไปเจอโครงกระดูกที่เนิน 500 ห่างจากฐานอนุพงษ์ ต.โคมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี แม้ทางแม่ของ ผอ.อ้อยจะยืนยันว่าเกิดจากลูกสาวเข้าฝัน แต่จากแนวทางสืบสวนก็ยังมีเบาะแสในช่องทางอื่นอยู่

ไม่ว่าจะจากชาวบ้านในพื้นที่ที่ให้เบาะแส และจากการเช็กสัญญาณโทรศัพท์ที่พบว่าสัญญาณสุดท้ายที่หายไปคือใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จึงขีดวงรอบรัศมี 4 กิโลเมตรพลิกแผ่นดินค้นหา

ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ

หลังจากได้รับโครงกระดูกของลูกสาวแล้ว พ่อและแม่ของ ผอ.อ้อย ก็เตรียมทำพิธีศพที่บ้านหลังที่กำลังก่อสร้างของ ผอ.อ้อย

โดยนายบุญเลิศเปิดเผยว่า รู้สึกสบายใจและโล่งใจที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ถอนประกันตัว ร.อ.ศุภชัย หรือผู้กองเหน่ง และยืนยันว่าหลังจากนี้จะเดินหน้าตามหากระดูกของลูกสาวให้ได้ครบทุกชิ้น เมื่อตรวจดีเอ็นเอเรียบร้อยก็จะทำพิธีทางศาสนา แต่จะไม่เผาศพลูก เพราะถือเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่จะเอาผิดคนร้ายได้

เมื่อใดที่คดีสิ้นสุดก็พร้อมที่จะเผาศพลูกสาว

ทั้งนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่คาดว่าการลงมือโหดครั้งนี้เกิดจากความโกรธแค้นที่ ผอ.อ้อยเดินทางมาทวงเงินที่ติดค้างกันอยู่กว่า 3 แสนบาทจากผู้กองเหน่ง ต่อหน้าผู้บังคับบัญชาถึงค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี

สุดท้ายผู้บังคับบัญชาก็บอกให้ทั้งคู่ไปตกลงกันเอง

ต่อมาผู้กองเหน่งกับ ผอ.อ้อย ก็นั่งรถไปด้วยกันที่จุดผ่อนปรนช่องอานม้า ด่านผ่านแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

ซึ่งคาดว่าขณะที่นั่งรถไปด้วยกัน อาจเกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้นจนผู้กองเหน่งบันดาลโทสะ ใช้เข็มขัดรัดคอจากด้านหลังจนกระดูกหักติดกับเศษผม จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกเพื่ออำพราง หวังให้เน่าสลายไปเอง

พร้อมกับมั่นใจว่าจะไม่มีใครหาพบ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ลึกลับซับซ้อน ใกล้ฐานปฏิบัติการทหาร แถมยังเป็นดงกับระเบิด

แต่สุดท้ายก็ถูกค้นเจอ และกลายเป็นหลักฐานสำคัญ

ย้อนปมโหด-แค้นทวงหนี้

สําหรับคดีนี้เริ่มต้นจากเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 เมื่อ น.ส.จุฑาภรณ์ หรือ ผอ.อ้อย หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมเก๋งโตโยต้า วีออส สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กษ 8201 เชียงใหม่ โดยช่วงเช้า ผอ.อ้อยยังเดินทางไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน ก่อนจะโทรศัพท์ไปลางานที่ อบต. บอกว่าจะไปจัดการธุระ และจะกลับมาทำงานอีกวัน

แต่วันรุ่งขึ้น ผอ.อ้อยกลับไม่ไปทำงาน แถมยังไม่สามารถติดต่อได้ แม้จะมีการเคลื่อนไหวจากไลน์และเฟซบุ๊ก แต่ก็มีลักษณะเป็นพิรุธ เหมือนกับไม่ใช่ตัวจริง

เป็นจุดเริ่มต้นที่ครอบครัว ผอ.อ้อยเริ่มตามหา โดยจุดแรกก็คือบ้านเพื่อนหรือคนรู้จักที่คิดว่า ผอ.อ้อยจะไปอาศัยอยู่ แต่ก็ไร้วี่แวว

จนกระทั่งครอบครัวไปแจ้งความไว้ที่ สภ.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งพ่อของ ผอ.อ้อยตัดสินใจร้องเรียนสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม

จากนั้นอีกไม่กี่วันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ติดตามจนพบรถเก๋งวีออส

โดยพบว่ารถคันดังกล่าวถูกขายให้กับเสี่ย ต. พ่อค้ารถมือสอง และนำมาให้ช่างทำสีใหม่ ที่อู่ใน จ.อุบลราชธานี ซึ่งจากการตรวจสอบพบเครื่องใช้ส่วนตัวของ ผอ.อ้อย ซึ่งเสี่ย ต. เองก็ให้การว่ามีน้องที่เป็นนายหน้าซื้อมาจากคนที่ประกาศขายในเฟซบุ๊ก จึงตกลงซื้อในราคา 2 แสนบาท และโอนลอยมาให้

เมื่อตรวจสอบลึกลงไปก็พบว่า ที่แท้คนที่เอาเก๋งมาฝากขายก็คือผู้กองเหน่งนั้นเอง

อีกทั้งตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ก็พบว่าทั้งคู่ไปด้วยกัน เมื่อสอบสวนผู้กองเหน่ง ก็ยอมรับว่าได้เดินทางไปที่ จ.อุบลราชธานีกับ ผอ.อ้อย แต่กลับมาที่ อ.กันทรลักษ์ ตอนเที่ยงก่อนจะมีคนมารับตัวไปอีกครั้ง

ขณะที่เพื่อนของ ผอ.อ้อย ระบุว่าทั้งคู่รู้จักกันเมื่อปลายปี 2558 และไปมาหาสู่กันตลอด จนถึงขั้นหยิบยืมเงินทองหลายต่อหลายครั้ง จนเป็นเงินกว่า 3 แสนบาท

ซึ่งเมื่อติดต่อทวงหนี้ แต่ไม่สำเร็จ ก็น่าจะกลายเป็นชนวนสังหาร แถมคนร้ายยังเอารถ ผอ.อ้อยไปขายเอาเงินมาใช้อีก

เรียกว่าพยานหลักฐานครบถ้วน เพื่อเอาผิดกับคนร้ายที่ลงมือโหดครั้งนี้