เรือนร่างของความเหนื่อยหน่าย | ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : ชาคริต คำพิลานนท์

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด | ชาคริต คำพิลานนท์

เรือนร่างของความเหนื่อยหน่าย

 

ผมตื่นก่อนเสียงแตรปลุกเสมอ ในความมืดของเรือนนอนหลังเก่า เมื่อลืมตามองขึ้นไป จะเห็นคานไม้ยาวจากฝั่งหนึ่งของความมืด ต่อรอยบากไปหาอีกฝั่งหนึ่งของความมืด ได้ยินเสียงพลิกตัวของเพื่อนทหาร เสียงหายใจแผ่วเบา เสียงเหมือนกำลังตัดพ้อบางอย่างในความฝัน ผมนึกภาพพวกเขาหลับใหล ผ้าห่มคลุมตัว ศีรษะเหนื่อยล้าตกลงมาจากหมอน คราบน้ำลาย เส้นผม กลิ่นอับชื้นของรองเท้าคอมแบตใต้เตียง ผมมองลึกเข้าไปในความมืดนั้น เห็นแผ่นกระเบื้องแดง แนวแถวของมัน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ซ่อนรอยร้าวไว้ตรงบางจุด เพราะในคืนที่ฝนตกหนัก ผมรู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำหยดลงมาบนอก

ผมนึกถึงตัวเองตอนยังเด็ก นึกถึงบ้านร้างหลังหนึ่งระหว่างเดินกลับจากโรงเรียนวัด เราจะเอาก้อนหินเขวี้ยงแผ่นกระเบื้องแตกๆ เราชอบเสียงของก้อนหิน ตอนมันกระทบเข้ากับตัวบ้าน รูที่ก้อนหินก้อนหนึ่งทิ้งเอาไว้ รอยร้าว แล้วเราก็จะช่วยกันอีก ระดมเขวี้ยงหินในมือ เขวี้ยงกันจนรู้สึกพอใจ จนเบื่อหน่ายที่จะทำ– ทุกครั้งที่รู้สึกตัวก่อนเสียงแตรปลุก ผมชอบนึกถึงเรื่องทำนองนี้เสมอ เพื่อนสองสามคนที่บ้านเกิด พวกเราเดินขึ้นเนินเขาลูกเตี้ยๆ ท้ายหมู่บ้าน เกาะกลุ่มกันในบ่ายอันร้อนอบอ้าว เดินบนทางดินเส้นเล็กๆ หยอกล้อกันด้วยเรื่องของเด็กผู้หญิงสักคน ผิวปากเลียนเสียงของนกป่า ถอนขนและผ่าท้องของมันด้วยใบมีดโกน ซาวด้วยเกลือ ย่างด้วยไฟอ่อนๆ พูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เรายังไม่รู้เรื่องดีนัก คนหนุ่มสักคนในหมู่บ้านที่ถูกยิงตาย เสียงปืนยาว งานศพ การที่ไม่มีใครพูดถึงความตายนั้น หรือความเข้าใจร่วมกันว่าพูดถึงไม่ได้ บางครั้งผมจะนึกถึงตาไปด้วย ตาที่ตายจากไปก่อนผมเกิด ตายทั้งยังฉกรรจ์ ตาซึ่งอยู่แค่ในรูปถ่ายซีดจาง จนผมไม่แน่ใจนักว่านั่นเป็นภาพถ่ายหรือแค่ภาพวาด ยายบอกว่าตาเป็นหมอยา มีวิชาคาถาอาคม มีภูมิรู้ มีที่ทางมากมายที่ตาถางด้วยมีดพร้าแค่เล่มเดียว

ต่อมาตาถูกยิงตาย แล้วจากนั้นก็เสียที่ทางแทบทั้งหมดให้กับใครต่อใครไปออกเอกสารสิทธิ์ ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้ลึกนัก

 

ตอนผมอายุสิบสอง ผมนั่งอยู่หน้าโรงจักรรีดยางแผ่นของป้า อ่านกองการ์ตูนผีเล่มละบาท ผมเห็นป้าคุยกับชายชราคนหนึ่งตรงรั้วไม้แกน ชายชราคนนั้นท่าทางดุ แววตาแข็งเหมือนเหยี่ยว เส้นผมบนหัวหงอกขาว แต่ร่างสันทัด หลังตั้งตรงแม้ไหล่ห่อ แกสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีมอๆ คาดผ้าชุบสีเลือดนก กางเกงขายาวสีทึบ ไม่สวมรองเท้า ผมจดจำสิ่งเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะผมจ้องชายชราคนนั้นเขม็ง ในมือของแกถือมีดพร้าเล่มหนึ่ง ผมรู้สึกได้ว่ามีดพร้าเล่มนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแกมาตั้งแต่เกิด ผมยังคงจ้องมองและอยากเอ่ยถามบางอย่าง แต่ผมไม่กล้าพอ ผมเกรงกลัวแกอยู่ลึกๆ ป้าคุยกับชายชราคนนั้นไม่นาน แค่ยืนคุยกัน ป้าไม่ได้ชวนแกเข้ามาในบ้าน ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมเข้าใจบางส่วนได้จากบทสนทนา ตัวแกเดินมาจากถนนใหญ่ ก่อนหน้านั้นโบกรถบรรทุกมาจากที่ไหนสักแห่ง คงเป็นบ้านเกิดของแก หรือที่อยู่ชั่วครั้งชั่วคราวของแก แกบอกว่าเคยมาที่นี่ตอนยังหนุ่ม แกเป็นเพื่อนคนหนึ่งของตา เคยหกล้มก้นขวิดกันมานานเน แกไม่เชื่อว่าตาได้ตายไปหลายปีแล้ว แกบอกว่านึกไม่ถึง และแกเก็บความเศร้านั้นเกือบไม่มิดชิด แววตาของแกอ่อนลง ยิ้มน้อยๆ และเดินจากไปทางเดิม ไม่บอกลาใคร

กว่าจะถึงถนนใหญ่ แกต้องเดินเท้าอีกประมาณสิบห้ากิโลเมตร ถนนดินฝุ่นแดง นานๆ ถึงจะมีรถผ่านมาสักคัน จากนั้นต้องโบกรถต่อ กลับไปที่เดิม อาจจะกลับไปในที่ที่แกจากมา หรือไปหาใครคนอื่นอีกในความทรงจำที่เหลือ ผมไม่รู้เพราะไม่ได้ถาม ได้แต่มองแกเดินจากไปแบบนั้น เห็นแผ่นหลังชุ่มเหงื่อ เห็นมือข้างที่ถือมีดพร้าสะบัดดอกหญ้าข้างทางอยู่เป็นระยะ

ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกห่อเหี่ยวตาม บ่ายวันนั้นชวนให้ใจข้างในโหวงเหวงพิลึก

 

นอกจากความมืด ข้างนอกเรือนนอนยังมองไม่เห็นอะไรมากนัก ผมข่มตาไม่หลับ เสียงใครบางคนเปิดตู้ล็อกเกอร์ คงเป็นเพื่อนทหารที่รอเข้าเวรผลัดถัดไป ผมนึกภาพเพื่อนคนนั้นซึ่งมองไม่เห็น ในตู้ล็อกเกอร์ของเขาคงมีบุหรี่สักตัว และเขาก็จุดบุหรี่มวนนั้น นั่งลงตรงปลายเตียง บิดตัว ขยี้ตาและเขี่ยบุหรี่ลงในขวดโซดาข้างเท้า มือข้างหนึ่งเคาะรองเท้าคอมแบตกับพื้นให้แน่ใจว่าไม่มีตัวอะไรอยู่ข้างใน พลางคิดไปคิดมาว่า ตัวเองกำลังทำห่าเหวอะไรอยู่ที่นี่ ในเวลาแบบนี้ นั่งนึกถึงหน้าลูกเมียตัวเอง นึกถึงบ้าน นึกถึงไร่ นึกถึงสิ่งที่ตัวเองมีและควรได้อยู่กับมัน จากนั้นเขาก็ถอดกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนออก หยิบชุดเข้าเวรในล็อกเกอร์ออกมาโยนลงบนเตียง เริ่มจากสวมเสื้อขาวซับใน เสื้อตัวนั้นระบุชื่อสกุลและชื่อผลัดประจำการเหมือนเสื้อของนักเรียน เขาจะยัดชายเสื้อลงไปในกางเกงใน ดึงชายเสื้อให้ตึงมากที่สุด จากนั้นจึงสวมเสื้อกะลาสีที่ติดเครื่องหมายและปลอกแขนแดงเรียบร้อยแล้ว ผูกโบเล็กๆ พร้อมกับจัดเงื่อนเชือกสีขาว จากนั้นทิ้งบุหรี่ครึ่งตัวที่เหลือในขวดโซดา หากเพื่อนที่นอนอยู่ข้างบนรู้สึกตัว เขาจะส่งบุหรี่ตัวนั้นให้แทนการรบกวน เขาอาจจะขัดหัวเข็มขัดอีกนิดหน่อย ก่อนจะสวมมันทับกางเกงกะลาสี นั่งลงที่ปลายเตียงอีกครั้ง คราวนี้สวมถุงเท้ายาว เอาซิ่งเหล็กใส่ไว้ในขากางเกงทั้งสองข้าง จัดระดับของซิ่งตามระเบียบกองทัพเรือ ว่าด้วยเครื่องแบบและวิธีแต่งเครื่องแบบเหล่าสารวัตรทหาร จากนั้นสวมรองเท้าคอมแบตสีดำขึ้นเงา สวมหมวกครึ่งใบแข็งๆ สีขาว รัดปลายคางและเดินเชิดหัวออกไป

ผมได้ยินเสียงรองเท้าคู่นั้น เสียงของเหล็กชิดเท้าที่ฟังดูห่างออกไป สักพักหนึ่งเสียงฝีเท้าอีกเสียงจึงเดินย้อนกลับเข้ามาในเรือนนอน แต่เสียงที่ได้ยินครั้งนี้กลายเป็นเสียงลากเท้า ฟังดูโรยราและเหนื่อยหน่ายอย่างเหลือทน

ผมยังคงนอนฟัง กระทั่งได้ยินร่างนั้นล้มตัวลงบนที่นอนทั้งยังสวมชุด

 

ผมไม่เคยเล่าเรื่องต่อไปนี้ให้เพื่อนคนไหนในร้อยฝึกฟังมาก่อน แต่ในช่วงอาทิตย์แรกของการฝึก ผมถูกจัดให้เข้าเวรผลัดดึก ช่วงระหว่างตีสองถึงตีสี่ คืนนั้นเป็นการเข้าเวรกะสุดท้าย ผมแต่งตัวเงียบๆ มองดูเพื่อนเตียงข้างๆ หลับสนิท หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมเดินออกมารับเวรต่อจากเพื่อน ซึ่งยืนประจำการอยู่ตรงระเบียงของเรือนนอน ข้างล่างเรือนนอนมีพลทหารอีกคนเข้าเวรเดินอยู่ ผมพยักหน้าให้เขา บริเวณนั้นมีคลังเก็บอาวุธ เวรที่เข้าจึงต้องเดินตรวจตรา ผมหันมาพูดคุยคำสองคำกับเพื่อนที่รับเวร คืนนี้โคตรหนาวเลยว่ะ เพื่อนบอกด้วยเสียงสั่นๆ แล้วผมก็รับปืนยาวกระบอกนั้นจากมือเพื่อน เดินเข้าแทนที่นิ่งๆ ในท่าระเบียบพัก

อย่างที่เพื่อนบอก คืนนั้นหนาวจับใจจริงๆ ผมต้องพยายามขยับตัวบ้างเพื่อให้ขาไม่แข็ง ระเบียงของโรงนอนมีช่วงทางเดินยาว ผมอาศัยการเดินไปและเดินกลับ ทำร่างกายของตัวเองให้อบอุ่น

ในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น ผมมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งในเรือนนอน ร่างนั้นเดินฝ่าความมืดออกมา ผมไม่ได้เอะใจ คิดว่าเพื่อนสักคนคงออกมาสูบบุหรี่กลางดึก แต่ร่างนั้นยังเลือนราง มองไม่ออกเสียทีว่าเป็นใคร แม้แต่ตอนที่ก้าวผ่านประตูออกมาแล้ว ผมทำได้แค่มองเห็น ร่างนั้นเคลื่อนผ่านหน้าและจับราวระเบียงของเรือนนอน ก่อนกระโจนลงไปเหมือนภาพเคลื่อนไหวลวงตาซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้ ห่างจากผมเพียงไม่กี่เมตร ผมได้แต่ยืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อ เหน็บหนาวแผ่นหลังจนขยับมือหรือขาข้างไหนไม่ออก ผมไม่รู้ว่าตัวเองเห็นอะไร แต่เป็นบางสิ่ง คล้ายรูปร่างของคน สิ่งนั้นจับราวระเบียงและกระโจนลงไปข้างล่าง ผมเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดนั้นต่อหน้าต่อตา

ราวครึ่งชั่วโมง พลทหารที่เดินตรวจตราอยู่ข้างล่างจึงผ่านมาอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้ผมเหมือนเดิม ผมอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ข้างล่างไม่มีใครเลยนอกจากเขา ผมจึงได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อนและเดินกลับไปยืนเวรตรงจุดเดิม พลางคิดไปว่าเรื่องนี้หากเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครสนใจ เหมือนเรื่องเล่าเกินจริงเรื่องอื่นๆ ที่จ่าฝึกชอบเอามาพูด ทุกคนล้วนฟังเป็นเรื่องเหลวไหล เรื่องคั่นฆ่าเวลา กระทั่งเรื่องโกหกไร้สาระ ทุกกองร้อยมีเรื่องทหารป่วยตายหรือหนาวตายคาเตียงเสมอ แต่ไม่เคยมีเรื่องของพลทหารที่ตั้งคำถามเรื่องการฝึก คนที่คิดว่าการเกณฑ์ทหารทั้งหมดนี้ไม่ถูกต้อง ไปจนถึงคนที่เคยถูกซ่อมจนตาย คนที่โชคร้ายที่สุดในผลัด และต้องมีทุกผลัด คนที่เอาชีวิตมาทิ้ง สุดท้ายถูกแทงจำหน่ายเป็นตายในสมุดปลด กลายเป็นผีที่ได้แต่รอเสียงแตร ผลัดแล้วผลัดเล่า ได้แค่ปรากฏตัวให้เห็นอย่างเลือนราง แต่พูดอะไรไม่ได้สักคำ

คืนนั้น หรือรุ่งสางของคืนนั้น ผมออกเวรพร้อมกับเสียงเพลงร้อง เพื่อนทหารบนเรือนนอนเปลี่ยนชุดกีฬา จ่าเวรเรียกแถวหน้ากระดานเรียงสี่ออกไปวิ่งตาม รปจ. ผมเป็นคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในเรือนนอน หลังคืนปืนให้พันจ่าเรียบร้อย ผมถอดรองเท้าคอมแบตออก เดินอย่างอิดโรยกลับมาที่เตียงของตัวเอง แสงแรกของเช้าวันใหม่ส่องเข้ามาทางช่องระบายอากาศ ผมล้มตัวลงบนเตียงทั้งยังสวมเครื่องแบบ

ผมไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ผมเหนื่อยเกินกว่าจะนึกถึงเรื่องอะไรอีกแล้ว •