คิดแบบ ‘เศรษฐา’ | หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน “เศรษฐา ทวีสิน” ไปเป็นวิทยากรที่หลักสูตร ABC

คุณเศรษฐาเป็นวิทยากรประจำของหลักสูตรอยู่แล้ว ทุกครั้งเราจะชวนคุยเรื่อง “แสนสิริ”

ทั้งเรื่องการบริหาร การสร้างแบรนด์และการฝ่าวิกฤต

แต่มีอยู่ 2 เรื่องที่ผมกับ “โจ้” ธนา เธียรอัจฉริยะ จะชวนให้คุณเศรษฐาเล่าเป็นประจำ

เรื่องแรก เป็นตอนที่เจอวิกฤตลอยตัวค่าเงินบาท ปี 2540

“แสนสิริ” ต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

ผู้ถือหุ้นเดิมต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นลง และยอมให้ผู้ลงทุนรายใหม่มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน

เพราะเป็นทางรอดเดียวของบริษัทในเวลานั้น

ผู้ถือหุ้นเดิมตอนนั้นมีอยู่ประมาณ 10 กลุ่ม

หุ้นในส่วนของคุณเศรษฐาและครอบครัวก็ลดลงเหมือนกับคนอื่นๆ

ผู้ถือหุ้นเดิมต้องเซ็นชื่อยินยอม

เซ็นมาครบทุกคน เหลือเพียงคนเดียว คือ “คุณปั้น” บัณฑูร ล่ำซำ ของแบงก์กสิกรไทย

คุณอภิชาติ จูตระกูล ผู้บุกเบิก “แสนสิริ” บอกกับคุณเศรษฐา ว่าเขาไม่กล้าเข้าคุยเอง

“เอ็งไปคุยให้หน่อยสิ”

ตอนนั้นใครๆ ก็กลัวคุณบัณฑูร เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่มากด้วยบารมี

คุณเศรษฐาก็กลัว

แต่ถึงคราวจำเป็น เมื่อต้องไปก็ต้องไป

ก่อนไปเขาเตรียมข้อมูลการเงินอย่างละเอียด มั่นใจว่าคุณปั้นถามอะไรมา ตอบได้ทุกเรื่อง

คุณเศรษฐาเล่าว่าตอนที่ไปนั่งรอคุณบัณฑูร เขาตื่นเต้นมาก

“มีเรื่องอะไรเหรอ” คุณบัณฑูรถามด้วยใบหน้านิ่งๆ ตามสไตล์

“เศรษฐา” ก็เล่าถึงปัญหาของ “แสนสิริ” ตอนนั้นให้ฟัง และบอกว่าถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่ผู้ถือหุ้นเดิมต้องยอมลดสัดส่วนหุ้นลง

“ทุกกลุ่มเซ็นหมดแล้ว เหลือแต่คุณปั้นคนเดียว”

เขาทายใจว่าคุณบัณฑูรคงจะซักเรื่องการเงินอย่างละเอียด

แต่คุณปั้นกลับยิงคำถามเดียวสั้นๆ

“แม่เอ็งเซ็นหรือยัง”

คุณเศรษฐาตอบว่าเซ็นแล้ว

“โอเค งั้นทิ้งเอกสารไว้ เดี๋ยวเซ็นให้”

จบ…

เรื่องนี้ตีความได้เยอะเลยครับ

เรื่องแรก ความเป็นไปได้ของโครงการ หรือรายละเอียดเรื่องการเงิน ไม่สำคัญเท่ากับ “ความน่าเชื่อถือ”

เรื่องที่สอง ถ้าคนทำงานอย่าง “เศรษฐา” ให้คุณแม่เซ็น

แสดงว่าเขาคิดมาอย่างดีแล้ว ทุกอย่างต้องปลอดภัย

ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าให้แม่เซ็นชื่อในสัญญา

สำหรับคุณเศรษฐา เขาได้บทเรียนสำคัญเรื่องหนึ่งที่นำไปใช้ตลอดมา

“เรื่องนี้สอนผมเรื่องการยิงคำถามให้ตรงประเด็น”

สั้นๆ ไม่ต้องยาว

แต่ให้ตรงประเด็น

 

อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเล็กๆ แต่สะท้อนให้เห็นถึงการสนใจรายละเอียด

คุณเศรษฐาเคยบอกว่าคนที่ทำธุรกิจอื่นแล้วประสบความสำเร็จ พอมีเงินหรือมีที่ดินก็อยากทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

“อย่าทำเลยครับ เพราะทำอย่างไรก็สู้ผมไม่ได้”

เขาบอกว่านักธุรกิจกลุ่มนี้เอาเวลาครึ่งวันไปทำธุรกิจหลัก อีกครึ่งวันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

“แต่ผมทำเรื่องเดียว และคิดเรื่องเดียวตลอดเวลา”

เขาเชื่อในเรื่องการ “โฟกัส”

ทำอะไรต้องทำจริงจัง

วันนี้คุณเศรษฐายังไปตรวจไซต์งานก่อสร้างตลอด

วันที่ขายดีที่สุด คือ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์

คนอื่นพัก แต่เขาจะไปลุยไซต์งานวันหยุด

ไปแบบไม่บอกล่วงหน้า

เขาบอกว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มีความสำคัญมาก

อย่างเช่น เรื่องการตัดหญ้า

ถ้าคนไม่มีประสบการณ์ พอรู้ว่าวันเสาร์-อาทิตย์ ลูกค้าจะมาดูโครงการ

เขาจะตัดหญ้าวันศุกร์

กะว่าเสาร์-อาทิตย์ หญ้าจะได้เรียบสวย

แต่หญ้าที่ตัดใหม่ๆ จะเหลือง ต้องได้น้ำชุ่มๆ อีก 3-4 วันจะเรียบสวย

“ถ้าอยากให้ลูกค้าเห็นหญ้าสวยๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ต้องตัดหญ้าวันจันทร์”

ครับ “รายละเอียด คือ พระเจ้า”

 

คุณนิด หรือคุณเศรษฐา เป็นวิทยากรที่คนฟังชอบ เพราะเป็นพวก “ขวานผ่าซาก”

ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม

ผมสังเกตว่าช่วงหลังๆ ตอนคุยเรื่อง “แสนสิริ” เขาจะคุยแบบเบื่อๆ

บางทีก็บอกแบบตรงไปตรงมาเลยว่าไม่อยากคุยเรื่องความสำเร็จของ “แสนสิริ”

เพราะเหมือนกับคนเอาความสำเร็จมาโม้บนเวที

แต่ถ้าเปลี่ยนมาคุยเรื่องสังคม “เศรษฐา” จะคึกคักขึ้นทันที

เหมือนเป็นความสนใจใหม่ของเขา

คุณเศรษฐามาเป็นวิทยากรครั้งนี้ตรงกับช่วงที่มีกระแสเรื่องการเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทย

ในอดีตเขาตอบ “แบ่งรับ-แบ่งสู้” มาตลอด

แต่ช่วงหลังๆ ดูเหมือนจะ “แบ่งสู้” มากกว่า “แบ่งรับ”

มาวันนี้ผมกับ “โจ้” ก็เลยถามเต็มที่เรื่อง “การเมือง”

คุยทุกเรื่อง ถามทุกเรื่อง

บางเรื่องก็ตอบตรงเกินไป จนไม่กล้าเล่าต่อ

คุณเศรษฐาพูดเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” หลายเรื่อง

ทั้งที่มาจากคนที่อยู่บนยอดพีระมิดของสังคมไทย

นอกจากนั้น ยังมีเรื่อง 2 มาตรฐาน และความเป็นธรรมในสังคม

เขาบอกว่าเรื่องคนรุ่นใหม่ที่บอกว่าอยากไปอยู่ประเทศอื่น ไม่ใช่เรื่องเล่น

แต่เด็กคิดแบบนั้นจริงๆ

เพราะเด็กไม่มี “ความหวัง”

และอย่าลืมว่าเด็กที่ย้ายประเทศได้ ล้วนเป็นเด็กที่มีฐานะและการศึกษาดี

เขามีโอกาส เขาจึงทำได้

“เศรษฐา” เล่าว่าลูกชาย 2 คนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างประเทศ

เรียนจบเขาก็ทำงานต่อที่เมืองนอกเลย

ไม่ยอมกลับเมืองไทย

“เศรษฐา” บอกว่าลูกชายอยู่เมืองนอกต้องซักผ้าเอง รถเสียก็ต้องเอารถไปซ่อมเอง

ไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่เมืองไทย

“แต่เขาเลือกที่จะอยู่เมืองนอก เพราะรับไม่ได้กับความไม่เป็นธรรมในสังคมไทย”

“ในฐานะคุณพ่อ รู้สึกอย่างไรที่ลูกไม่กลับมาอยู่เมืองไทย” ผมถาม

คุณเศรษฐาอึ้งไปนิดนึง ไม่ตอบตรงๆ บอกเพียงว่าชีวิตเป็นของลูก เพราะเขาต้องเติบโตไปเรื่อยๆ

ผมไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลนี้หรือไม่

ทำให้ “เศรษฐา” ตัดสินใจเล่นการเมือง

เพราะจำได้ว่าเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าคนที่มีความพร้อม เมื่อเห็นปัญหาแล้ว

อย่าเพียงแค่บ่น ต้องลงมือทำด้วย

ขอต้อนรับคุณเศรษฐา ทวีสิน สู่เวทีการเมืองครับ •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์

www.facebook.com/boycitychanFC