ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ตามรอยศิลปะ ณ ดินแดนสเปน : Dalí Theatre-Museum
โรงละครแห่งความฝันสุดพิลึกพิลั่นของศิลปินเซอร์ตัวพ่อ (จบ)
ถ้าจะให้เล่าถึงงานทุกชิ้นใน Dalí Theatre-Museum หน้ากระดาษในคอลัมน์นี้คงไม่พอเขียน เอาเป็นว่าขอเล่าถึงผลงานบางชิ้นที่โดดเด่นโดนใจเราที่สุดก็แล้วกัน
เริ่มด้วยผลงานของดาลีที่เราเคยดูจากในหนังสือมานานแล้ว มาคราวนี้ถึงได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆ อย่างภาพวาด Soft Self-Portrait with Fried Bacon (1941) และ Portrait of Pablo Picasso in the Twenty-first Century (1947) อันเป็นภาพพอร์ตเทรตของดาลีกับโคตะระศิลปินในดวงในของเขาอย่าง ปิกัสโซ
ลักษณะเด่นของผลงานภาพวาดของดาลีคือการใช้เทคนิค วิธีจิตตาพาธ-วิพากษ์ (Paranoiac-critical method) หรือวิธีการนำเสนอภาพลวงตาและภาพหลอนของผู้ป่วยโรคจิตเภทออกมาอย่างน่าติดตาตรึงใจด้วยทักษะทางศิลปะอันเชี่ยวชาญ
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เหมือนการให้จิตรกรฝีมือดีเข้าไปบันทึกภาพฝันร้ายฝันหลอนออกมาให้เห็นเป็นภาพอย่างสมจริงนั่นแหละ
ภาพนี้ดาลีวาดตัวเองให้ออกมาเหมือนเป็นชีสหลอมเหลววางตากอยู่เคียงข้างเบคอนทอด (บ่อยครั้งที่ดาลีได้แรงบันดาลใจจากอาหาร อย่างภาพวาดนาฬิกาเหลวอันลือลั่น The Persistence of Memory (1931) เขาก็ได้แรงบันดาลใจจากชีสกามองแบร์ละลายเหลว)
ส่วนภาพปิกัสโซ ดาลีวาดออกมาในเชิงบูชาปนเสียดสี ด้วยการวาดภาพให้ปิกัสโซเป็นเหมือนราชันย์แห่งโลกศิลปะ บนศีรษะสวมมงกุฎใบรอเรล สัญลักษณ์ของจักรพรรดิ ตามความเชื่อของกรีกโรมัน
ในขณะเดียวกันก็วาดภาพปิกัสโซให้เป็นเหมือนปีศาจผู้ทำลายศิลปะ (ด้วยความที่งานของปิกัสโซส่วนใหญ่เป็นการทำลายขนบเดิมๆ ของโลกศิลปะอย่างสิ้นเชิง)
ส่วนสมองของปิกัสโซในร่างอมนุษย์นั้นหรือ ก็ไหลย้อยทะลุท้ายทอยออกมาจากปากเป็นลิ้นรูปช้อนที่มี ลูต (Lute) เครื่องดนตรีโบราณของสเปนวางอยู่ในช้อน
ซึ่งเจ้าลูตที่ว่านี้นั้นเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความหมกมุ่นในความรักและกามารมณ์ อันเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของปิกัสโซนั่นเอง
ต่อด้วยห้องแสดงงานห้องหนึ่งที่ไม่ควรพลาดในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือห้องที่จัดแสดงผลงานศิลปะจัดวางที่ตีความจากภาพวาด Mae West’s Face which May be Used as a Surrealist Apartment (1934-35) ที่ได้แรงบันดาลใจจากการอนุมานของซิกมุนด์ ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ชื่อดัง (ที่ทฤษฎีของเขาส่งอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการของขบวนการเซอร์เรียลลิสม์) ที่ว่า “ภาพฝันถึงห้องนั้นเป็นตัวแทนของผู้หญิง”
ดาลีจึงวาดภาพห้องอพาร์ตเมนต์สุดเซอร์เรียล ที่ประกอบขึ้นจากองคาพยพใบหน้าของ เมย์ เวสต์ เซ็กซ์ซิมโบลชื่อดังแห่งยุค 1920-1930 โดยใช้ดวงตาของเธอเป็นภาพวาดคู่ประดับผนัง จมูกเป็นปล่องไฟเตาผิง ริมฝีปากอันอวบอิ่มเป็นโซฟา คางกลมกลึงเป็นขั้นบันได และวิกผมบลอนด์สลวยของเธอเป็นผ้าม่านหน้าประตูห้อง อย่างสุดพิสดาร
ในปี 1974 ดาลี และ ออสการ์ ตูสเกซ บลังกา (Oscar Tusquets Blanca) สถาปนิกชาวสเปน ทำการตีความภาพวาดนี้ใหม่ โดยจำลองออกมาเป็นพื้นที่ของห้องจริงๆ ขึ้นมา โดยทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนที่ประกอบขึ้นจากอวัยวะบนใบหน้าของเมย์ เวสต์ อย่างภาพวาดดวงตา จมูกปล่องไฟเตาผิง และโซฟารูปริมฝีปากสีแดงสด ขั้นบันไดรูปคาง และผ้าม่านจากวิกผมสีบลอนด์วาววับจับตาขนาดมหึมา มุมหนึ่งบนเพดานยังประดับด้วยอ่างอาบน้ำและโต๊ะเครื่องแป้งอย่างน่ารักปนน่าพิศวง
เมื่อเข้าไปภายใน ด้วยความใหญ่ของห้อง ทำให้เรายากจะเห็นภาพรวมที่ประกอบกันเป็นใบหน้าของเซ็กซ์ซิมโบลผู้นี้
แต่ความเก๋ไก๋ก็คือ มุมด้านหนึ่งของห้องมีขั้นบันไดให้เราเดินขึ้นไปส่องผ่านเลนส์ให้เห็นใบหน้าของเธอได้อย่างเต็มตา หรือถ่ายรูปกันได้อย่างเพลินใจ
อีกห้องที่เป็นไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือห้องที่มีผลงานภาพวาดบนฝ้าเพดาน Wind Palace Ceiling (1972-1973) ภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบติดผ้าเพดาน ที่ดาลีได้แรงบันดาลใจจากบทกวีชื่อ L’Empordà ของกวีชาวสเปน Joan Maragall ที่พูดถึงภูมิภาค Empordà ในสเปน และสายลมเหนือ ใจกลางภาพเป็นมุมมองจากเบื้องล่างเห็นเท้าของดาลีกับกาล่า ภรรยาและเทพธิดาบันดาลใจของเขายืนตระหง่านอยู่ด้านบนเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนห้องนี้ยังไงยังงั้น
ภาพวาดนี้เป็นเหมือนอุปมานิทัศน์ (หรือการเล่าเรื่องในเชิงสัญลักษณ์เปรียบเทียบ) ของเส้นทางอันหลากหลายในชีวิตของดาลี โดยถูกนำเสนอในบรรยากาศเหมือนความฝันพิสดาร อันเป็นลักษณะเด่นในเทคนิควิธีจิตตาพาธ-วิพากษ์ของเขา
ในภาพแสดงตัวดาลีและกาล่าที่กำลังเฝ้ารอเรือแห่งโชคชะตา กำลังลอยลำออกไปสู่มหาสมุทรแห่งความฝันที่อยู่เบื้องบน ใจกลางภาพ ท่ามกลางสายฝนสีทองร่วงหล่นลงจากฟากฟ้าเป็นเหรียญทอง รวมถึงกงล้อแห่งโชคชะตา ช้างประหลาดที่มีขายาวยืดเหมือนแมลง รูปเงาเจ้าหญิงและเจ้าชายที่เป็นตัวแทนของกษัตริย์และราชินีแห่งสเปนในช่วงเวลานั้น และรูปเงาของ เมลิโต กาซาลซ์ (Melitó Casals) หรือ “เมลี” ศิลปินภาพถ่ายชาวสเปน ผู้เป็นเพื่อนสนิทของดาลีที่ร่วมงานกับเขามาอย่างยาวนาน
นอกจากภาพวาดบนฝ้าเพดานแล้ว ในห้องยังมีผลงานศิลปะสุดพิสดารเหนือจริงหลากหลายชิ้น ที่โดดเด่นเตะตาจนอดพูดถึงไม่ได้ ก็คือผลงานประติมากรรม Bust of Velásquez Metamorphosing into Three Conversant Figures (1974) รูปหล่อบรอนซ์ของ ดิเอโก เบลาสเกซ ศิลปินคนสำคัญ ผู้เปรียบเสมือนพ่อศิลปินสเปนทุกสถาบัน (ดาลีเองก็หลงใหลบูชาในตัวศิลปินผู้นี้จนถึงกับไว้หนวดโง้งเรียวยาวชี้ชูชันเลียนแบบเบลาสเกซจนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาไปตลอดชีวิต)
สิ่งที่พิเศษอย่างมากก็คือ บนใบหน้าของรูปหล่อบรอนซ์ที่ว่านี้ ดาลีวาดภาพที่หลอมรวมผลงานของเบลาสเกซประกอบกันเป็นองคาพยพบนใบหน้า รวมถึงผลงานชิ้นเอกของเขาอย่าง Las Meninas (1957) อีกด้วย
ไฮไลต์อีกอย่างของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมิตรรักแฟนศิลปะผู้รักงานวรรณกรรม ก็คือส่วนของนิทรรศการ The Divine Comedy by Dante Alighieri illustrated by Salvador Dal? ที่จัดแสดงผลงานภาพประกอบที่ดาลีวาดให้หนังสือ Divine Comedy (1825-1827) กวีนิพนธ์เรื่องยิ่งใหญ่ของ ดังเต อาลีกีเอรี (Dante Alighieri) ที่เล่าเรื่องราวของตัวเขาเอง เดินทางเยี่ยมเยือนดินแดนหลังความตามสามแห่งอย่าง “นรก” (Inferno) “แดนชำระ” (Purgatorio) และ “สวรรค์” (Paradiso)
มีศิลปินระดับตำนานหลายคนวาดภาพประกอบและตีความบทกวีชิ้นนี้เป็นงานศิลปะ
ดาลีเองก็เป็นศิลปินอีกคนที่ถูกจ้างโดยสถาบัน Polygraphic แห่งรัฐบาลอิตาลี ให้มาวาดภาพประกอบหนังสือเล่มนี้ในปี 1950
แต่น่าเสียดายที่เมื่อวาดเสร็จ สัญญาว่าจ้างกลับถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้หนังสือไม่ถูกพิมพ์ออกมา แต่หลังจากในนั้น ในระหว่างปี 1959 และปี 1963 ภาพประกอบสีน้ำจำนวน 100 ชิ้นที่ Dalí วาดชุดนี้ ก็ถูกตีพิมพ์ออกมาในจำนวนจำกัดโดยสำนักพิมพ์ในฝรั่งเศส
ดาลีซึ่งคุ้นเคยกับ Divine Comedy ตั้งแต่เด็กๆ ลงมือวาดภาพประกอบหนังสือเล่มนี้ในระหว่างที่เขาลี้ภัยการเมืองไปอยู่สหรัฐอเมริกา เขาตีความภาพนี้ออกมาในสไตล์เซอร์เรียลลิสต์อันน่าพิศวง หลอนหลอก เหนือจริง ที่พูดได้เลยว่า พิสดาร พันลึก และโคตรเข้ากั๊นเข้ากันกับเรื่องราวการท่องนรกสวรรค์ของดังเตอย่างน่าทึ่ง (นิทรรศการนี้จบไปเมื่อสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา)
ไฮไลต์ส่วนสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือห้องจัดแสดงผลงานออกแบบเครื่องประดับสไตล์เซอร์เรียลลิสต์ของดาลี อันสวยงาม เลอค่า น่าพิศวง หากผลงานชิ้นหนึ่งที่แสบสันต์ที่สุดก็เห็นจะเป็นจี้ห้อยคอทองคำรูปตัวหนังสือคำว่า “Avida Dollars” (ไอ้คนเห็นแก่เงิน) อันเป็นฉายาที่ อองเดร เบรอตง (André Breton) เจ้าลัทธิเซอร์เรียลลิสม์ตั้งให้ดาลี ก่อนที่จะขับไล่เขาออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม ซึ่งดาลีก็หาได้แยแสแคร์ไม่ แถมยังเอาฉายานี้มาทำเป็นจี้ทองคำห้อยคอเสียด้วยซ้ำไป!
ที่สำคัญที่สุด พื้นที่ใจกลางพิพิธภัณฑ์ ใกล้กับห้องแสดงเครื่องประดับแห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพของ ซัลบาดอร์ ดาลี อีกด้วย มิตรรักแฟนศิลปะผู้หลงใหลผลงานของศิลปินเซอร์โคตรพ่อผู้นี้ ก็ไม่ควรพลาดที่จะหาโอกาสเยี่ยมเยือนเพื่อเคารพศพของเขาที่นี่อย่างยิ่ง
พิพิธภัณฑ์ Dalí Theatre-Museum ตั้งอยู่ในเมืองฟิเกรัส จังหวัดฌิโรนา แคว้นกาตาลุญญา, เปิดทำการวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10:30-18:00 น. ปิดทำการวันจันทร์ (ยกเว้นในเดือนกรกฎาคม, สิงหาคม และกันยายน) และปิดทำการในวันที่ 25 ธันวาคม และ 1 มกราคม, เปิดทำการรอบกลางคืนระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม-31 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 20:00-01:00 น. (จองล่วงหน้า), สนนราคาค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 19 ยูโร (เด็กอายุต่ำกว่า 9 ปี เข้าชมฟรี)
ดูรายละเอียดและจองตั๋วเข้าชมได้ที่ https://www.salvador-dali.org/
พิเศษ! MIC WALKING TRIP #08 เที่ยววัดชมศิลปะระดับโลก
เมื่อ ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คอลัมนิสต์ชื่อดังในมติชนสุดสัปดาห์ ผู้เล่าเรื่องศิลปะได้น่าฟังที่สุดในปัจจุบัน
และ ธัชชัย ยอดพิชัย ผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัดและโบราณสถาน จับมือพากันไปเที่ยวในวัดสำคัญย่านบางกอก พร้อมชมงานศิลปะระดับโลก
ทำความเข้าใจประวัติวัดและความสำคัญจากอดีตจนถึงปัจจุบันของ 2 วัดดังในย่านบางกอก-ธนบุรี และอาคารประวัติศาสตร์มิวเซียมสยาม
พร้อมฟังที่มาที่ไปของผลงานศิลปินระดับโลก ที่นำผลงานมาจัดแสดงใน BAB 2022
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2565 เวลา 13.00 -17.00 น.
พบกันที่หน้าพระอุโบสถวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร
เพียงท่านละ 700 บาทเท่านั้น!*
*ราคาดังกล่าวรวมค่าบริการรถตู้ส่งระหว่างวัดประยุรฯถึงวัดโพธิ์
สนใจสำรองที่นั่งที่ LINE โดยคลิก line.me/ti/p/zM-t9v3Y9w
หรือค้นหาด้วย LINE ID : MatichonMIC
สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ : คุณหญิง โทร. 092-246-4140
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022