มองข้ามปี2565 ก้าวสู่ 2566 ‘ท่องเที่ยวไทย’ สดใสหรือหม่นหมอง… ภาคธุรกิจเทใจ ‘จีนปลดล็อก’

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือนดี ก่อนโบกมือลาปี 2565 ก้าวเข้าสู่ปี 2566 แล้ว ซึ่งหากนับตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโลก ก่อนลามเข้าประเทศไทย ถือว่าเราใช้เวลาต่อสู่กับเชื้อไวรัสมาอย่างยาวนานเกือบ 3 ปี

และในปัจจุบัน แม้โควิดจะคลี่คลายตัวลง แต่ยังไม่ได้หมดไปจนสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ เหมือนช่วงก่อนเกิดการระบาดขึ้น

ทำให้เห็นในบางประเทศยังต่อสู้กับการควบคุมการระบาดโควิดอยู่ แต่ในบางประเทศก็ประกาศการอยู่ร่วมกับโควิดแล้ว

จากสถานการณ์โควิดในประเทศที่คลายตัวลงมาก พบผู้ติดเชื้อรายวันหลักร้อยคน เทียบกับหลักหลายหมื่นคนในช่วงที่ผ่านมา จนรัฐบาลประกาศเปิดประเทศท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงปลดระวางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

สะท้อนได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนไทยเที่ยวไทยที่ทยอยเพิ่มขึ้น

(Photo by Mladen ANTONOV / AFP)

ล่าสุด พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ประเทศไทยพร้อมแล้ว ที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบด้วยไมตรีจิตเหมือนที่ผ่านมา

รวมถึงเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ไทยได้มากขึ้น จึงประกาศเพิ่มจำนวนวันพำนักในไทยผ่านการขยายวีซ่าจากเดิม 30 วัน เป็น 45 วัน

และมีการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด มุ่งสู่การกลับมาเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในตลาดต่างประเทศอีกครั้ง ครอบคลุมทั้งตลาดระยะใกล้และระยะไกล ผ่านการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้แก่กลุ่มเป้าหมายตามระยะเวลาของฤดูการท่องเที่ยวที่เหมาะสม เพื่อรักษาฐานตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ส่งเสริมการเดินทางของกลุ่มเป้าหมายใหม่

รวมถึงเสนอสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าเหนือราคาให้แก่นักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกได้เข้ามาค้นหาและร่วมออกแบบเส้นทางการเดินทางด้วยตัวเอง

พร้อมกันนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้นำผู้ประกอบการไทย 38 ราย เข้าร่วมงาน World Travel Market 2022 (WTM 2022) ระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2565 ณ Excel London กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการของไทย ทำความรู้จักกันใหม่และกลับมาพบกันอีกครั้ง

งานครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ เพราะถือเป็นงานส่งเสริมการขายนานาชาติงานแรกของไทยนับจากการระบาดโควิดช่วงที่ผ่านมา

โดยตั้งเป้าหมายในปี 2565 จะต้องมีนักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรมาเยือนประเทศไทย จำนวน 400,000 คน โดยมุ่งเจาะตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ กลุ่มครอบครัว LGBTQ กลุ่ม Millennials

ตลอดจนกลุ่มความสนใจพิเศษ อาทิ กลุ่มคนรักสุขภาพ Health & Wellness กลุ่มท่องเที่ยวเชิงกีฬา กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2565 อยู่ที่ 10 ล้านคน ซึ่งขณะนี้ 10 เดือนแรกของปี มีต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยแล้ว 7.6 ล้านคน ทำให้ในช่วงไม่ถึง 2 เดือนที่เหลือนี้ จะต้องเร่งให้ต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 1.3-1.5 ล้านคนต่อเดือน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

 

แม้การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ภาพอาจไม่สดใสเหมือนที่วาดฝันไว้ เพราะถึงไทยจะเปิดท่องเที่ยวแบบเต็มตัวแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะทะลักเข้ามาเที่ยวไทยขนาดนั้น

โดยเฉพาะการที่ประเทศจีน ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของไทย รัฐบาลจีนยังไม่ปลดล็อกให้พลเมืองเดินทางออกนอกประเทศได้ตามปกติ จึงนับว่าเป็นความเสี่ยงของประเทศไทย เพราะ “ตลาดจีน” เป็นสัดส่วนที่สูงมาก และว่ากันว่ากระเป๋าหนักสุดๆ เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ

โดยในปี 2562 มีชาวจีนมาเที่ยวไทยกว่า 11 ล้านคน จากจำนวนต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคน

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ระบุว่า ในปี 2562 ประเทศจีนส่งออกพลเมืองเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ คิดเป็นจำนวนกว่า 155 ล้านคน รวมถึงชาวจีนยังเป็นประเทศแรกที่มีค่าใช้จ่ายในด้านการเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกด้วย คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ 8.6 ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นสหรัฐ 6 ล้านล้านบาท และเยอรมัน 3.4 ล้านล้านบาท

โดยประเมินเฉพาะในปี 2562 จีนมีการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมากที่สุดกว่า 9 ล้านล้านบาท จากมูลค่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของโลก ที่มีรายได้รวมประมาณ 51 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 17% ของรายได้จากการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.ต้องมีการปรับแผนทำการตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ในระหว่างที่รัฐบาลจีนยังไม่แสดงความชัดเจนว่า จะเปิดประเทศให้พลเมืองชาวจีนออกท่องเที่ยวนอกประเทศได้เมื่อใด จึงจำเป็นต้องเสริมทัพด้วยนักท่องเที่ยวจากชาติอื่นๆ ให้มากที่สุด ภายใต้นโยบายไม่รอจีน เพื่อเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชีย ซึ่งฟื้นตัวได้เร็วแทน เพราะหากต้องรอจีนอย่างเดียวตายแน่นอน

“ในปี 2566 กำหนดเป้าหมายรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย แบ่งเป็นกรณีพื้นฐานไว้ที่ 18 ล้านคน บนเงื่อนไขตลาดนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวกลับมาแบบครึ่งๆ กลางๆ สร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ 971,790 ล้านบาท ขณะที่กรณีดีที่สุด ตั้งเป้าไว้ที่ 30 ล้านคน บนเงื่อนไขนักท่องเที่ยวจีนกลับมาแบบเต็มที่ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยในปี 2566 จะได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตลาดจีนจะกลับมาเปิดประเทศได้ในช่วงใด” ธเนศวร์ขยายความ

ด้านภาคเอกชนก็มองภาพไม่แตกต่างกัน โดยศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) มองว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวขณะนี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหากเทียบกับช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา เนื่องจากนับตั้งแต่เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบแล้ว แต่ตลาดจีนที่เป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทยนั้น อาจต้องรอถึงปี 2566 ที่จะกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้ง เพราะรัฐบาลจีนยังไม่ปลดล็อกให้พลเมืองเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งในระหว่างนี้ก็ต้องทำตลาดประเทศอื่นๆ ที่มีความหวังก่อน อาทิ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และตลาดระยะไกลอย่างยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา แม้ไม่สามารถทดแทนนักท่องเที่ยวจีนได้ แต่ก็ถือเป็นนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาสร้างรายได้ชดเชยในส่วนที่หายไปของชาวจีน

อาจพูดได้เต็มปากเลยว่า ปี 2566 ภาคการท่องเที่ยวไทยที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ จะวิ่งได้ไกลมากน้อยเท่าใด อย่างไรหนีไม่พ้น ต้องมองไปยังรัฐบาลจีน ว่าจะเปิดประเทศช้าหรือเร็วด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน เริ่มเห็นการคิดดังๆ ว่าไทยจะใช้โอกาสนี้ สร้างน้ำหนักถ่วง บนตราชั่ง “ภาคท่องเที่ยวไทย” อย่างไร

นั่นคือ ลดคาดหวังสูงในกลุ่มชาวจีน ไปยังกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะอินเดีย ตะวันออกกลาง ที่กำลังเริ่มหว่านเมล็ดแล้ว