เช็กท่าที 2 ป. สูตรอำนาจ 2+2 เช็กขุมกำลังพี่ใหญ่ แคนดิเดตนายกฯ ส่องอาณาจักร ‘ป่ารอยต่อฯ’ และคลังสมองนายพล

ชื่อบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ กลายเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไปโดยปริยายแล้ว หลังจากที่เคยปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนนายกฯ 38 วัน ด้วยปฏิบัติการ “ใจบันดาลแรง”

ตามมาด้วย ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หนุนให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ ด้วยสูตร “นายกฯ คนละครึ่ง” กับบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เริ่มนับวาระนายกฯ ตั้งแต่เมษายน 2560 และจะอยู่ได้แค่ปี 2568

แม้จะมีข่าวสะพัดในมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้ต้องการจะเป็นนายกฯ และกำลังหาแคนดิเดตนายกฯ เพิ่มเติม นอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังไม่แน่นอนว่าจะยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ หรือท้ายที่สุดจะตัดสินใจวางมือ

โดยมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร ได้สอบถามบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน อีกครั้งว่า ให้กลับมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.อีกคน แต่ พล.อ.วิชญ์ปฏิเสธ เพราะไม่เคยคิดอยากเป็นนายกฯ และต้องการเดินหน้าพรรครวมแผ่นดินต่อไป

พล.อ.ประวิตร จึงยังคงจะหาแคนดิเดตนายกฯ ต่อไป เพราะอยากได้พลเรือนที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ

จนมีการโยนชื่อหม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ ยุค คสช. เพื่อนเซนต์คาเบรียล ของ พล.อ.ประวิตร ออกมาจากแกนนำ พปชร. ให้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ไม่ต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ยังไม่ได้รับลูก แต่ยอมรับว่าเป็นคนเก่ง

ขณะที่แรงเชียร์ให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยหน้าหลังการเลือกตั้ง จากคนใกล้ชิด ยังคงมีอยู่ เพราะเห็นถึงความสามารถ และความสุขุมลุ่มลึก มีแค่สุขภาพร่างกายในวัย 77 ปี ที่ไม่เอื้ออำนวยเท่านั้น แต่ช่วง 38 วันที่รักษาการแทนนายกฯ ก็ทำให้เห็นว่า สุขภาพและปัญหาเรื่องขาที่ไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการลงพื้นที่ หรืองานรับเสด็จฯ ที่ไม่ต้องมีการหมอบกราบ

ยิ่งเมื่อมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร เองก็หันมาดูแลสุขภาพด้วยการทำกายภาพบำบัดบ่อยขึ้น ทั้งว่ายน้ำ และกายบริหาร ควบคุมน้ำตาล ด้วยใช้ลดกินน้ำหวาน กินกาแฟดำแทนกาแฟเย็น ดื่มโค้กซีโร่เหยาะเกลือ และกินผลไม้มากขึ้น

รวมทั้งการนุ่งยีนส์กระชากวัยออกสื่อ จากที่เคยใส่ในวันหยุด และงานส่วนตัว และการปรับทีมพีอาร์ สร้างภาพลักษณ์ “ลุงป้อม” ใจดี น่ารัก น่ากอด น่าหอมแก้ม จากการลงพื้นที่ที่มีชาวบ้านมาขอกอดและหอมแก้ม ให้ความรู้สึกอบอุ่น

จนทำให้ถูกมองว่า เตรียมตัวเป็นนายกฯ ในอนาคตหรือไม่

ยิ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เริ่มนับวาระนายกรัฐมนตรีในปี 2560 จนทำให้เป็นนายกฯ ได้แค่ปี 2568 เท่านั้น สูตรอำนาจ 2 ป. คนละ 2 ปี พล.อ.ประยุทธ์ 2 ปี พล.อ.ประวิตร 2 ปี ก็ถูกโยนหินถามทางออกมา ด้วยธีม “หมดตู่ ชูป้อม” เพราะ พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอยู่แล้วก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ไม่มีใครตอบคำถามหรือแสดงท่าทีต่อประเด็นนี้เลย นอกเสียจากเมิน และไม่ตอบคำถาม รวมทั้งไม่พูดถึงอนาคตทางการเมืองที่ชัดเจน

จนแกนนำพรรคพลังประชารัฐต้องออกมาสะกิดให้ พล.อ.ประยุทธ์รีบตัดสินใจว่าจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเลยหรือไม่ เพื่อมามีส่วนร่วมในการวางยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้งในสมัยหน้า แต่ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งถูกนักข่าวถามหลายครั้ง ก็ไม่ตอบเรื่องนี้

จนท้ายที่สุด ตอบแค่เพียงว่า “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ

จึงทำให้สถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐและอนาคตทางการเมืองของทั้งพี่น้อง 2 ป. และโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะยังคงไปต่อกับ พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ยังคงอึมครึม และคลุมเครือ

เพราะยังมีกองเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อด้วยตัวเอง แยกออกมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แยกทางเดินกับ พล.อ.ประวิตร

ยิ่งเมื่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แบะท่าว่า พร้อมจะร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ โดยไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ และชื่นชมว่า พล.อ.ประวิตรมีข้อดีมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์

แม้จะมองออกว่าเป็นแผนเสี้ยมให้พี่น้อง 2 ป.หวาดระแวงกันเอง และเป็นกลยุทธ์ในการสลายความแข็งแกร่งของพี่น้อง 2 ป.ก็ตาม

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็คงอดหวาดระแวงพี่ใหญ่ไม่ได้ เพราะคนรอบข้างก็ดูเหมือนจะสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ แทน

แต่ท้ายที่สุดบรรดาน้องๆ ในกองทัพต่างเชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร แม้จะมีเรื่องระหองระแหงกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะแตกหัก ยังคงที่จะต้องร่วมมือกันต่อไป เพื่อเป้าหมายในทางการเมือง

โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ที่ประกาศแล้วว่า “จะสู้จนตาย” และแสดงออกถึงการเตรียมพร้อมที่จะไปต่อในทางการเมือง แม้ว่าจะเหลือเวลาแค่ปี 2568 ก็ตาม

แม้จะต้องใช้สูตรนายกฯ คนละครึ่งก็ตาม แต่อยู่ที่ว่า พล.อ.ประวิตรจะรอไหวหรือไม่ กว่าจะได้เป็นนายกฯ ก็ปี 2568 ตอนนั้นก็อายุ 80 แล้ว

แต่หากให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน จากนั้นค่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นต่ออีก 2 ปีส่งท้ายชีวิตทางการเมือง บนเก้าอี้นายกฯ แต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่า พล.อ.ประวิตรจะลุกขึ้นตามสัญญาเมื่อนั่งครบ 2 ปี

ในทางกลับกัน หาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แล้วครบ 2 ปีแล้วยุบสภา ต้องเลือกตั้งใหม่ บรรดา ส.ส.ก็คงไม่แฮปปี้ที่จะต้องเลือกตั้งบ่อยๆ เพราะเลือกตั้งแต่ละครั้งก็ต้องใช้ทุนมหาศาล

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐจำนวนไม่น้อย ไม่คาดหวังกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไปต่อได้แค่ 2 ปี จึงหันมาสนับสนุน พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรค ที่ใจดีและเข้าถึงได้ง่ายกว่าแทน

 

หากสำรวจความพร้อมของ พล.อ.ประวิตร แล้วมีขุมกำลังไม่น้อย ทั้งลูกน้องที่เป็นตำรวจ เพราะก็คุมตำรวจมาหลายปี แถมตอนรักษาการนายกฯ ก็ได้จัดโผนายพลตำรวจชุดใหญ่

ขณะที่น้องๆ ทหารในกองทัพ ในสายบูรพาพยัคฆ์ ก็ยังคงค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทดแทนพวกที่เกษียณ รวมทั้งพลเรือนและนักการเมือง ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่มากมายคอนเน็กชั่น

เป็นที่รู้กันว่า พล.อ.ประวิตรมีฐานที่มั่นอยู่ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออกฯ หรือที่เรียกกันว่า บ้านป่ารอยต่อฯ จนเกิดสำนวนทางการเมืองที่ว่า “เข้าป่าฯ” ที่หมายถึง การไปพบ พล.อ.ประวิตร

ถือเป็นมูลนิธิที่ทรงพลังองค์กรหนึ่ง ในทางการเมือง และแวดวงทหาร ถูกจับตามองและพูดถึงเสมอ เพราะเป็นเสมือนที่ทำการของ พล.อ.ประวิตร ที่ใครจะมาพบปะพูดคุย ก็ต้องมาหาที่นี่ ไม่ว่าจะภารกิจเปิดเผย หรือมิชชั่นลับ

เมื่อก่อนถือเป็นเซฟเฮาส์ของพี่ใหญ่ ที่ถูกเรียกว่า ไวต์เฮาส์ เพราะเป็นบ้าน 2 ชั้นสีขาว แต่เมื่อ พล.อ.ประวิตรมาเล่นการเมือง โดยเฉพาะหลังรัฐประหารของ คสช. จนตั้งพรรคพลังประชารัฐ และนั่งหัวหน้าพรรคเองที่นี่ จนกลายเป็นเสมือนพรรค พปขร.ส่วนแยก เพราะหัวหน้าพรรคนั่งประจำที่นี่ ไม่ได้เข้าไปนั่งที่พรรค แถมบ่อยครั้งที่ เรียกประชุมแกนนำพรรคที่นี่

มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ในยุคเฟื่องฟู เทียบได้กับมูลนิธิรัฐบุรุษฯ ในยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สมัยเป็นประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เลยทีเดียว โดยปัจจุบันยังมีลูกป๋า อย่างบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานมูลนิธิ

พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา

หากดูรายชื่อคณะกรรมการ 25 คน จนถูกเรียกกันว่า โปลิตบูโร ป่ารอยต่อฯ ที่มี พล.อ.ประวิตรเป็นประธาน และยังคงมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานกิตติมศักดิ์ ตั้งแต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในยุค คสช. ถือเป็นการให้เกียรติแก่ พล.อ.ประยุทธ์ และแน่นอนว่า มีบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา สมาชิกในแผงอำนาจ 3 ป. เป็นกรรมการ

จึงทำให้มูลนิธิป่ารอยต่อฯ กลายเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” เลยทีเดียว

และมีชื่อหม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เพื่อนร่วมรุ่นเซนต์คาเบรียล 05 เป็นรองประธาน และบิ๊กเขียว พล.อ.พัฑฒะนะ พุธานานนท์ อดีตรอง ผบ.ทบ. จากไทยเบฟฯ เป็นรองประธาน โดยมีนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

รวมทั้งบรรดาน้องรักที่ใกล้ชิด และสายบูรพาพยัคฆ์ เป็นกรรมการ ทั้งบิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต รมช.กลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. ที่ พล.อ.ประวิตรให้ไปทำงานด้านกีฬา ในสหพันธ์มวยไทยนานาชาติ ผลักดันมวยไทยไปแข่งในโอลิมปิก

บิ๊กหมู พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท อดีตปลัดกลาโหม บิ๊กอ้วน พล.อ.อภิชัย ทรงศิลป์ อดีตปลัดบัญชี ทบ. เพื่อน ตท.10 ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร บิ๊กอ๊อด พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 1 และบิ๊กบี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อดีต รมว.แรงงาน ในยุค คสช. แต่ลาออกเพราะมีปัญหากับ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องการโยกย้ายในกระทรวง บิ๊กอู๊ด พล.อ.วลิต โรจนภักดี อดีตรอง ผบ.ทบ.

และที่เป็นน้องรักระดับลูกเลิฟ ของ พล.อ.ประวิตร เช่น บิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม ที่ยังมาติดตามช่วยงานในทีมงานรองนายกฯ จนเป็นเสมือนเลขาฯ ส่วนตัว ที่ดูแลทุกเรื่อง ทั้งเรื่องงาน และส่วนตัวให้ พล.อ.ประวิตร จนทุกวันนี้

เสธ.เก่ง พล.ต.จักรกฤษณ์ ศรีนนท์ อดีตนายทหารคนสนิท และฝ่าย เสธ.ที่ติดตาม พล.อ.ประวิตรมายาวนาน เป็นกรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก และแต่งงานกับลูกสาวเสี่ยคราม นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เจ้าสัวคอมฯ ลิงค์ เพื่อนรักเซนต์คาเบรียล ของ พล.อ.ประวิตร เจ้าของนาฬิกาหรู ที่ให้ พล.อ.ประวิตรยืมใส่ และเคยเป็นคณะกรรมการมูลนิธิ แต่เพิ่งนำชื่อออกไป เมื่อเสียชีวิตกุมภาพันธ์ 2560

และ เสธ.ชิน พ.อ.ชินสรณ์ เรืองศุข รอง ผบ.พล.ม.2 รอ. อดีตนายทหารคนสนิท และฝ่าย เสธ.ที่ติดตาม พล.อ.ประวิตร สมัยอยู่ใน ทบ. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก

และยังมีบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีต ผช.ผบ.ทบ. ที่ช่วยงานสายกีฬา พล.อ.ประวิตร มาตลอดหลังเกษียณ จนมาลงสนามการเมืองตามคำแนะนำของ พล.อ.ประวิตร จนมาตั้งพรรครวมแผ่นดิน

รวมทั้งเพื่อนซี้ร่วมรุ่น ตท.6 เช่น บิ๊กกี่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ พล.อ.สุรัตน์ วรรักษ์ กรรมการและเลขานุการ พล.อ.อนันต์ กาญจนปาน กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ พล.ท.สว่าง ดำเนินสวัสดิ์ กรรมการและเหรัญญิก

และยังมีพลเรือนที่สนิทสนมใกล้ชิดยาวนาน ทั้งนายบำรุง ล้อเจริญวัฒนะชัย ที่ได้ฉายาเจ้าพ่อแห่งการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สระแก้ว ที่รู้จักสนิทสนมตั้งแต่ พล.อ.ประวิตรอยู่ พล.ร.2 รอ. กองพลบูรพาพยัคฆ์ มายาวนานหลายสิบปี และ “โต้ง ไมด้า” นายกมล เอี้ยวศิวิกูล นอกจากนั้น ยังมีพลเรือน เช่น นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเป็นโดยตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องกับป่า เช่น อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ

มูลนิธิป่ารอยต่อฯ จึงถูกเรียกเป็นอาณาจักรของพี่ใหญ่ และหลายเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง การทหาร ก็เกิดขึ้นที่นี่ ตั้งแต่การตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จนมาถึงการรัฐประหาร 2549 และ 2557 ที่ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคีย์แมนเกี่ยวข้อง

พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์

แต่ทีมงาน หรือมือไม้ของ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ได้อยู่ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เท่านั้น เพราะน้องรักหลายคนก็ไม่ได้มีชื่อในโปลิตบูโรของมูลนิธิ แต่เป็นมือทำงานและติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะมาเป็นทีมงานรองนายกรัฐมนตรี ที่ พล.อ.ประวิตรแต่งตั้งขึ้นทำงานในเรื่องต่างๆ ที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะเรื่องที่ดินที่ทำกิน และการบริหารจัดการน้ำ ที่มี พล.อ.ณัฐเป็นประธานอนุกรรมการ

และมีการตั้งธนาคารที่ดิน ที่เป็นองค์การมหาชน ขึ้นมา โดยให้บิ๊กบวบ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน อดีตรอง ผบ.ตร. ที่เป็นทีมงานรองนายกฯ นั่งทำงานที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เป็นประธานกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน

ส่วนด้านน้ำ ในยุค คสช. พล.อ.ประวิตร ตั้ง สนทช. หรือสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ขึ้นเพื่อบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบ และกลั่นกรองแผนงาน โครงการด้านทรัพยากรให้เป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ทั่วประเทศ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง และน้ำท่วม ที่ปัจจุบันมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เป็นเลขาธิการ สนทช.

โดยที่ พล.อ.ประวิตรเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เอง และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำรายภาคขึ้น 4 ภาค เพื่อช่วยกำกับดูแลติดตามงานตามนโยบาย

โดยส่ง 4 ทหารเสือไปคุม 4 ทิศ 4 ภาค ทั้งบิ๊กตู่ พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา อดีตรองปลัดกลาโหม น้องเลิฟสายบูรพาพยัคฆ์ แกนนำ ตท.20 เพื่อนสนิท พล.อ.ณัฐ ให้คุมพื้นที่ภาคเหนือ เป็นประธานภาคเหนือ

บิ๊กป้ำ พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ อดีตรองปลัดกลาโหม แกนนำ ตท.20 เป็นประธานภาคเหนือ บิ๊กตุ๋ย พล.ร.อ.พิเชษฐ์ ตานะเศรษฐ อดีตรอง ผบ.ทหารสูงสุด เป็นประธานภาคกลาง และ พล.ร.ท.ธนพล วิชัยลักขณา อดีตรองเจ้ากรมอุทกศาสตร์ ทร. เป็นประธานภาคใต้ ในการลงพื้นที่ติดตามการแก้ปัญหา แทน พล.อ.ประวิตร ทั่วประเทศ

เรียกได้ว่า ทั้งเรื่องที่ดินและน้ำ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาวบ้าน หากสร้างผลงานที่ดี ก็ส่งผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล และโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่มักจะลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้าด้วยตนเอง รวมทั้งไปมอบโฉนดที่ดินทำกิน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเชื่อมโยงกับการเมือง

พล.ร.อ.พิเชษฐ์ ตานะเศรษฐ

ขณะที่ในทางการเมือง พล.อ.ประวิตรได้ยึดครองพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มตัวแล้ว ถึงขั้นประกาศว่า จะเป็นหัวหน้าไปจนตาย และเลี่ยงที่จะพูดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรจะต้องมาเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ และเคยประกาศว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ แต่กำลังมุ่งมั่นพัฒนาให้เป็นสถาบันทางการเมือง

และก็ยังมีบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. น้องรัก เป็นตัวเลือกอีกคนหนึ่งที่ พล.อ.ประวิตรดึงมาทำงานกัน หรือสนามใหญ่ช่วยงานในพรรคพลังประชารัฐให้เป็นแม่ทัพดูแลภาคอีสาน เพราะก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 20 ของ พล.อ.ณัฐ แล้วนายทหารอีกหลายคนที่เป็นทีมงานของ พล.อ.ประวิตร

ที่สำคัญคือ รอบกายยังคงมีบิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องรัก และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เป็นตัวช่วยในทางการเมือง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ค่อยแฮปปี้ด้วย

หากมองขุมกำลัง และเครือข่ายของ พล.อ.ประวิตร เช่นนี้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหาก พล.อ.ประยุทธ์จะหวาดระแวงพี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดีคนนี้