ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ชาวต่างชาติมีสิทธิซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ หากนำเงินมาลงทุนในประเทศไทย 40 ล้านบาท
ประโยคแรกที่เราจะได้ยินจากเสียงของผู้คัดค้านคือ “ขายชาติ ขายแผ่นดิน” ซึ่งฉันคิดว่ามันเป็นวาทกรรมที่ไม่พาเราไปไหนเลยในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจและการวางแผนพัฒนาประเทศ
เป็นเรื่องประหลาดมากว่าคนไทยมีความลุ่มหลงเป็นพิเศษต่อคำว่า “แผ่นดิน” เช่น การพูดถึงทักษิณ ชินวัตร กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพราะภัยพิบัติทางการเมืองอันหมายถึงการถูกรัฐประหาร และถูกอำนาจรัฐหลังจากนั้นไล่ล่าโดยกฎหมายและกลไกอำนาจรัฐในการเอาผิด
แทนที่เราจะพูดว่า ทักษิณและยิ่งลักษณ์ถูกกระทำทางการเมืองจนต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เรากลับพูดว่า “ไม่มีแผ่นดินอยู่”
ซึ่งก็ชวนให้สงสัยว่าบ้านของทักษิณและยิ่งลักษณ์ที่ต่างประเทศนั้นลอยอยู่บนผืนน้ำ หรือไปมีบ้านอยู่บนก้อนเมฆหรืออย่างไร?
ทำไมแผ่นดินในประเทศอื่นไม่ถูกนับว่าเป็น “แผ่นดิน” หรือทำไมแผ่นดินในประเทศอื่นมันไม่มีความเป็น “ดิน” ไม่ดีเท่าแผ่นดินในประเทศไทยหรืออะไรยังกัน?
หรือการใช้คำว่า “ไม่มีแผ่นดินอยู่” สำหรับคนไทยจำนวนหนึ่งที่ถูกล้างสมองโดยโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลไทยยุคเผด็จการหลังสงครามเย็นว่า ความภาคภูมิใจสูงสุดของการได้เกิดเป็นคนไทยคือการเกิดบนผืนแผ่นดินไทยที่วิเศษสุดจะพรรณนาดีงามเหนือแผ่นดินอื่นหาที่ใดเสมอเหมือน และจะภูมิใจที่สุดหากเราได้สละชีพเพื่อแผ่นดินและบรรพบุรุษของเราจากนั้นก็ขอตายอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ มีชีวิตเพื่อเป็น “ชาติพลี” จึงจะได้ตายตาหลับ
สำหรับคนที่โดนล้างสมองมาแบบนี้จึงเห็นว่าการต้องไปอยู่ต่างประเทศคือโทษอันร้ายแรงที่สุด เจ็บปวดที่สุดเทียบเท่ากับการ “ไม่มีแผ่นดินอยู่”
และเชื่อเช่นนั้นโดยไม่หันกลับมาดูเลยว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่น่าอยู่จริงหรือเปล่า
เป็นประเทศที่อยู่แล้วมีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือเปล่า?
และในขณะที่เราภูมิใจกับแผ่นดินของเราเหลือเกิน ทำไมเราถึงอยากจะส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์
ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลูกพูดภาษาต่างประเทศได้เหมือนเจ้าของภาษา อยากส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
หรือถ้าลูกหลานได้งานทำในประเทศโลกที่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่แสนจะภูมิใจ นับเนื่องเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของชีวิต
การรับรู้เรื่อง “แผ่นดิน” ของคนที่อยู่ใน “เรื่องเล่า” ที่ถูกถักทอมาล้างสมองให้คนไทยเข้าใจโลก เข้าใจตัวเองอย่างบิดเบี้ยวนี้จึงส่งผลให้คนไทยจำนวนไม่น้อยมองโลกและมองสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยอย่างผิดเพี้ยนอีกด้วย
เช่น แทนที่จะมองว่า ความเจ็บปวดของคนอย่างปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ คือความเจ็บปวดอันเกิดจากการถูกกระทำทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม เป็นความเจ็บปวดของคนที่ต้องการรักษาหลักการประชาธิปไตย หรือในฐานะของคนที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากเสียงของประชาชน แต่กลับถูกถีบลงจากอำนาจโดยคนมีปืนไม่กี่คน และจากนั้นชีวิตก็หาความปลอดภัยไม่ได้อีกเลยในประเทศที่คนถือครองอำนาจอยู่
สิ่งนี้ต่างหากที่ควรจะเป็นความเจ็บปวด ไม่ใช่เจ็บปวดเพราะไม่มี “แผ่นดิน” ให้เหยียบยืน การถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมต่างหากที่เจ็บปวด
ไม่เกี่ยวกับ “แผ่นดิน” เพราะบนโลกใบนี้มีแผ่นดิน “อื่น” ที่กลายเป็นเรือนรังได้ แต่เรือนรังหรือสำคัญเท่ากับความยุติธรรมที่พึงถูกชำระสะสาง
กลับมาที่กฎหมายให่คนต่างชาติถือครองที่ดิน เราจะเห็นว่า ประเทศทั้งหลายบนโลกใบนี้ไม่มีใครเขาลุ่มหลงเรื่อง “แผ่นดิน” เหมือนประเทศไทย
และแทบจะไม่มีประเทศไหนเลยบนโลกใบนี้ที่มีเรื่องเล่าทำนองว่า บ้านเมืองนี้บรรพบุรุษต่อสู้กับศัตรู สละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ให้ตกมาถึงลูกหลานอย่างเรา ดังนั้น ถ้าเราไม่ปกป้องแผ่นดินของบรรพบุรุษ เราจะกลายเป็นลูกหลานจัญไร
ในขณะที่เรานั่งท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า แผ่นดินนี้บรรพบุรุษปกป้องรักษามาด้วยชีวิต
เราไม่ได้ย้อนดูประวัติศาสตร์ครอบครัวของเราเลยว่า เราได้มาอยู่อาศัยในแผ่นดินนี้มากี่ปี?
บ้างบรรพบุรุษเพิ่งโล้สำเภามาจากซัวเถาเมื่อสัก 100 ปีที่ผ่านมา อันบ่งชี้ว่า บรรพบุรุษของเราน่าจะปกป้องแผ่นดินที่ซัวเถา หาได้เคยปกป้องแผ่นดินที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศไทยไม่
ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ครอบครัวตัวเองดีๆ คนไทยที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศไทย ล้วนอพยพมาจากที่อื่นทั้งสิ้น
บ้างเป็นเชยศึกถูกกวาดต้อนมาในช่วงสงคราม ทั้งที่มาจากเวียงจันทน์ หรือแถบหล่มสักล้วนเป็นลาวหลวงพระบางอพยพมา
คนในแถบล้านนา ล้วนแต่เป็นผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาในยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง เมื่อสมัยเจ้ากาวิละ
ดังนั้น อาจพูดได้ว่า บรรพบุรุษของเหล่าพวกเราล้วนแต่เป็นผู้คนของดินแดนอื่น หากจะได้มีโอกาสปกปักรักษาบ้านเมืองก็ไม่ใช่บ้านเมืองที่เป็นไทยในปัจจุบัน แต่เป็นดินแดนที่ปัจจุบันเป็นดินแดนของประเทศอื่น
เพราะฉะนั้น หากจะเชื่อว่ามีใครสักคนรบพุ่งเพื่อรักษาดินแดนนี้เอาไว้ เขาคนนั้นก็ไม่ใช่บรรพบุรุษของเราแน่ๆ เพราะพวกเราล้วนแต่อพยพมา เดินเท้ามา ถูกกวาดต้อนมา หรือเดินเรือมาอยู่อาศัยในแผ่นดินนี้ภายหลัง
ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้บอกเพื่อให้เราเลิกรักชาติ
แต่เขียนมาเพื่อให้มีสติว่า ถ้าเราจะรักชาติ ต้องรักด้วยองค์ความรู้ที่ถูกต้องไม่บิดเบือน และหากเราจะมองไปยังดินแดนอื่น เราก็จะรู้ว่า โลกปัจจุบันล้วนเป็นดินแดนของผู้อพยพทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นอังกฤษจะมีนายกรัฐมนตรีเชื้อสายอินเดียได้อย่างไร?
ดังนั้น คำว่า “แผ่นดิน” จึงไม่ได้หมายความถึงมรดกของบรรพบุรุษที่ตกทอดมายังเรา
แต่หมายถึง อาณาเขตของรัฐชาติรัฐชาติหนึ่งที่ผ่านการตกลงหรือผ่านความขัดแย้งกับรัฐชาติอื่นๆ หรือแม้กระทั่งผ่านการต่อสู้เพื่อปลดแอกจากเจ้าอาณานิคม ประกาศเอกราชจนมาถึงขั้นตอนของการเผชิญกับความขัดแย้งภายในจนมีการแยกตัวของเป็นชาติอื่นๆ อีก
เช่น กรณีอินเดีย ปากีสถาน หรือแม้กระทั่งในสงครามรัสเซีย-ยูเครนในตอนนี้ หรือจะย้อนไปที่การแตกสลายของสหภาพโซเวียตจนมีประเทศ/รัฐชาติเกิดขึ้นมาใหม่อีกหลายประเทศ
และหากเราเข้าใจตรงนี้เราจะเห็นว่าการเปิดให้ต่างชาติมาซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับการขายชาติ ขายมรดกของบรรพบุรุษ
แต่หมายถึงแผนการดึงเม็ดเงิน หรือดึงคนเด่งๆ ดึงคนมีศักยพภาพให้เข้ามาลงทุนหรือมาใช้ชีวิตในประเทศของเรา
มีคนไทยเยอะแยะไปซื้อบ้านที่อเมริกา อังกฤษ ไม่เห็นคนอเมริกา อังกฤษ จะบอกว่า เราขายชาติ
ไม่เพียงแต่ขายชาติ สมัยนี้เขาขายสัญชาติกันด้วยซ้ำ เพราะหลายๆ ประเทศกำหนดว่าเอาเงินเท่าไหร่ล้านมาลงทุนในประเทศฉัน เอาสัญชาติฉันไปได้เลย
แต่กรณีของไทยไม่เป็นแบบนั้น
เรื่องที่เราควรเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องขายชาติ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “สภาพ” ประเทศไทยที่เปิดขายตอนนี้ อยู่ในสภาพที่เราอาจำรำพึงได้ว่า “คนดีๆ ที่ไหนจะมาซื้อ”
ทั้งการเมืองที่เป็นเผด็จการ มีกฎหมายลิดรอนเสรีภาพของประชาชนหลายมาตรา คุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ ขนส่งมวลชนเข้าขั้นเสื่อมทราม เต็มไปด้วยอาชญากรรม ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ข่าวตำรวจทำหน้าที่โจรมีให้อ่านรายวัน เจ้าหน้าที่รัฐฉ้อฉล กินสินบน ขูดรีด เรียกค่าร้อนน้ำชาเยอะ
เหล่านี้จะไม่ดึงดูดนักลงทุนคุณภาพดี
ตรงกันข้ามจะดึงดูดเหล่ามาเฟียข้ามชาติให้หลั่งไหลมาอยู่เมืองไทย
เพราะนี่คือสวรรค์ของโจร และพ่อค้ายาเสพติด เจ้าของบ่อนการพนัน แก๊งค้ามนุษย์
สิ่งเหล่านี้น่าห่วงกว่าเรื่อง “ขายชาติ” เพราะเป็นการขายชาติให้โจรข้ามชาติ
ไม่นับว่าเราไม่มีทั้งภาษีที่ดินและมรดกที่จะทำให้การถือครองที่ดินของคนต่างชาติ ส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ
เลวร้ายกว่านั้นเมื่อเราเป็นสวรรค์ของซ่องโจร ก็จะทำให้เราสูญเสียความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนที่เป็นนักลงทุนจริงๆ เช่น การลงทุนในฐานนะฐานการผลิต เครื่องจักร รถยนต์ สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไรแบบที่เราเคยมี ดังที่เราอ่านข่าวมาตลอดว่าเขาย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยไปหมดแล้ว และก็จะมีคำอธิบายไว้ปลอบใจตัวเองว่า “เพราะค่าแรงเราสูง”
เพราะฉะนั้น เราควรเลิกลุ่มหลงกับคำว่าแผ่นดิน แต่ควรมาสนใจและห่วงใยว่า
“คนจำพวกไหนอยากมาซื้อแผ่นดินของเรา?
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022