จัดเต็ม ‘บีเอ็มดับเบิลยู i7’ ใหม่ ‘เลาจน์’ เคลื่อนที่-พลังไฟฟ้า | ยานยนต์ สุดสัปดาห์

สันติ จิรพรพนิต

จัดเต็ม ‘บีเอ็มดับเบิลยู i7’ ใหม่ ‘เลาจน์’ เคลื่อนที่-พลังไฟฟ้า

 

ค่าย “บีเอ็มดับเบิลยู” น่าจะเป็นแบรนด์จากยุโรปค่ายแรกๆ ที่ส่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้า เข้ามาอวดโฉมในเมืองไทย

ส่วนหนึ่งเพราะเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย บวกกับประเทศบ้านเกิดอย่างเยอรมนี สนับสนุนและออกข้อบังคับมากมาย เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมไร้มลพิษจากควันของเครื่องยนต์สันดาปภายใน

ที่ผ่านมาเคยส่งรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาชิมลางแบบเล็กๆ ก่อนทำตลาดจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจุบันบีเอ็มฯ มีรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี ทำตลาดประกอบด้วยรุ่น iX, iX3 และ i4

ส่วนรถยนต์ในเครือคือมินิ มีรุ่น “มินิ เอสอี” (Mini SE)

สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่เป็นรถขนาดเล็ก

จนล่าสุดบีเอ็มฯ จัดรุ่นใหญ่ไฟกะพริบ เจาะตลาดผู้บริหารโดยเฉพาะกับรุ่น “i7 xDrive60 M Sport” ซีดานพรีเมียมขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

เป็นยานพาหนะที่ใช้รับรองผู้นำประเทศต่างๆ ที่เข้ามาร่วมประชุม APEC ในไทยด้วย

 

มาภายใต้แนวคิด “FORWARDISM” ก้าวสู่ศักราชใหม่แห่งสุนทรียภาพแห่งการขับขี่และการขับเคลื่อน

ถือเป็นรุ่นท็อปสุดของค่าย ที่แม้จะเป็นรถไฟฟ้าล้วน แต่สาวกที่อาจไม่นิยมรถขุมพลังแบบนี้ อาจต้องรอสักนิดเพราะคาดว่าจะมีรุ่นเครื่องยนต์ทางเลือกออกมาไม่ว่าจะป็นดีเซล หรือปลั๊กอินไฮบริด

รุ่นที่นำเข้ามาทำตลาดเป็นแบบฐานล้อยาว โดยในรุ่นหลังๆ ของซีรีส์ 7 จะเป็นแบบนี้ทั้งหมด จึงไม่ค่อยได้เห็นสัญลักษณ์ตัว “L” หลังชื่อรุ่นเหมือนสมัยก่อน

ฐานล้อให้มามากถึง 3,215 ม.ม.

ขณะที่มิติตัวถังใหญ่ขึ้นกกว่ารุ่นเดิม รวมทั้งสูงขึ้นเพื่อชดเชยพื้นที่วางแบตเตอรี่ ไม่ให้ผู้โดยสารรู้สึกอึดอัดเกินไป

กระจังหน้าขนาดใหญ่แบบไตคู่ ซึ่งรุ่นนี้พิเศษขึ้นไปอีกเพราะมีเส้นไฟล้อมรอบ

ไฟหน้าเรียวเล็กแบบ Adaptive LED พร้อมปรับองศาเมื่อเข้าโค้ง ซึ่งจะอยู่ต่ำจากระนาบของกระจังหน้าเล็กน้อย

ส่วนจุดที่น่าจะเป็นไฟหน้าติดชุดไฟส่องสว่างตอนกลางวัน “Iconic Glow” ร่วมกับสวารอฟสกี้ เจ้าพ่อคริสตัลระดับโลก ประดับเพิ่มความหรูหราและดูไฮเทคเพิ่มขึ้น

มีกิมมิกเบาๆ เมื่อปลดล็อกรถ ไฟที่กระจังหน้าจะสว่างขึ้น เช่นเดียวกับไฟส่องสว่างตอนกลางวันจะติดระยิบระยับ

มือเปิดประตูแบบฝังในตัวรถซึ่งเป็นดีไซน์ในช่วงหลังๆ บริเวณเสา C มีกราฟิกสามเหลี่ยมดูสปอร์ตและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ผู้โดยสาร

ไฟท้ายทรงตัวแอล แบบไฟวิ่ง

ใต้โลโก้ฝากระโปรงท้ายมีปุ่มกดเปิดกระโปรงท้าย แทนมือจับแบบเดิม

ล้ออัลลอย M aerodynamic 21 นิ้ว ตกแต่งสี Titanium Bronze

ภาพรวมถือว่าออกแบบได้ความสปอร์ตมากขึ้น เรียกว่าจะขับเองหรือนั่งเป็นผู้บริหาร ตามแต่ใจปรารถนา

แน่นอนว่าจุดเด่นที่สุดคือความสะดวกสบายภายใน

เน้นความหรูหราด้วยโทนดำตัดกับสีเงิน และประดับด้วยคริสตัล พร้อมไฟแอมเบี้ยนไลต์รอบคัน คอนโซลกลางสีดำเงาเปียโนแบล็ก

ความหรูหราไม่ต่างจากนั่งอยู่ในเลาจน์

พวงมาลัยเอ็ม 3 ก้านท้ายตัดพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น จับกระชับมือ

เรือนไมล์ดิจิทัลเชื่อมกับจอกลางขนาดใหญ่ โค้งเข้าหาผู้ขับขี่เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการมองหรือควบคุม

มี BMW Head-up Display และฟังก์ชั่น Augmented View ติดตั้งมาเป็นครั้งแรก

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 4 โซน

ระบบเกียร์ไฟฟ้าพร้อมปุ่มควบคุมแบบหมุนไปมา ใช้แรงเบามือควบคุมได้แทบทุกอย่างบนตัวรถ

เบาะนั่งทั้งตอนหน้าหลังมีฟังก์ชั่นนวด ระบบอุ่นเบาะทุกที่นั่ง ระบบระบายอากาศที่เบาะนั่ง

ที่เปิดประตูจากภายในเป็นแบบปุ่มกด

หลังคากระจกพาโนรามา “Sky Lounge” พร้อมเส้นแสง LED ที่ปรับเปลี่ยนได้ทุกเส้น

ที่นั่งด้านหลังใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะรถรุ่นนี้ส่วนใหญ่แล้ว “คนซื้อไม่ได้ขับ คนขับไม่ได้ซื้อ”

เรียกว่าเป็นรถผู้บริหารที่นั่งด้านหลังมากกว่า บริเวณที่เท้าแขนข้างประตูทั้ง 2 ฝั่งติดตั้งจอควบคุมขนาด 5.5 นิ้ว ซึ่งรุ่นเดิมจะเป็นแท็บเล็ตติดตั้งบริเวณที่เท้าแขนตรงกลาง

จอควบคุมตรงนี้ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะปรับตำแหน่งเบาะนั่ง หรือกระทั่งเปลี่ยนโหมดการขับขี่เพื่อให้ผู้โดยสารตอนหลังสบายที่สุด

ส่วนจุดเดิมเปลี่ยนเป็นที่ชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สาย ส่วนที่เหลือให้วางแขนสบายๆ

จอเพื่อความบันเทิงสำหรับที่นั่งด้านหลัง ปกติจะเป็นจอเล็กๆ ติดตั้งหลังพนักพิงศีรษะของคู่เบาะหน้า

แต่สำหรับรถรุ่นนี้ปรับเป็นจอขนาดใหญ่ 31.3 นิ้ว ความละเอียด 8K ที่จะสไลด์ลงมาจากเพดาน เรียกว่าเห็นกันเต็มตาสุดๆ

กระหึ่มไปอีกกับระบบเสียงรอบทิศทาง Bowers & Wilkins Diamond ลำโพง 39 จุด

เมื่อปรับการขับขี่เป็นโหมดดูภาพยนตร์ ม่านบริเวณกระจกข้างและกระจกหลังจะเลื่อนขึ้นมา ทำให้ห้องโดยสารไม่ต่างจากโรงหนังขนาดย่อมๆ

 

ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว พละกำลังรวม 400 กิโลวัตต์ หรือ 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 745 นิวตันเมตร

ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ และแน่นอนไม่พลาดกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า “BMW xDrive” และเทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ช่วยเพื่ออรรถรสในการขับขี่ซึ่งบรรจุอยู่ในรุ่นก่อนหน้าอย่าง “iX”

แบตเตอรี่แรงดันสูง 105.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนติดตั้งด้านล่างตัวถัง

อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ที่ 19.6-18.4 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/100 กิโลเมตร

อัตราเร่งสุดจี๊ด 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 4.7 วินาที

ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง

พิสัยทำการต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง 625 กิโลเมตร แม้ใช้จริงอาจไม่ถึงตามพฤติกรรมขับขี่ของแต่ละคน แต่ต่ำๆ ต้องมีระดับ 560-570 กิโลเมตร

สามารถชาร์จพลังงานจาก 10-80% ที่สถานีชาร์จกำลังสูง 195 กิโลวัตต์ ได้ใน 34 นาที

หรือหากใครเร่งรีบแล้วอยู่ใกล้สถานีชาร์จไฟฟ้าแรงสูง ชาร์จไฟเพียง 6 นาที สามารถวิ่งเพิ่มอีก 100 กิโลเมตร

ช่วงล่างแบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ ส่วนรุ่นท็อปเป็นแบบ Executive Drive Pro

ระบบความปลอดภัยต่างๆ ขอละไว้แล้วกันเพราะให้มาแบบจุกๆ เรียกว่าบอกไม่มีอะไรจะง่ายกว่า

มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย

i7 xDrive60 M Sport (First Edition) 7,599,000 บาท

i7 xDrive60 M Sport 7,849,000 บาท

i7 xDrive60 M Sport Gran Lusso 8,599,000 บาท

ทุกรุ่นมาพร้อมแพ็กเกจบำรุงรักษา BSI Standard 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]