The Liberator | นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

The Liberator

 

ดีมาก ยังมีอะไรที่น่าค้นหาในหนังสงครามโลกครั้งที่สอง เปิดดูโดยไม่รู้ว่าสร้างจากเรื่องของบุคคลที่มีอยู่จริงและกองพันทหารราบที่มีอยู่จริง เมื่อดูจนจบแม้จะรู้สึกว่าบางฉากออกจะดราม่าไปนิดแต่ก็อดทึ่งมิได้

เป็นหนังการ์ตูนที่สร้างด้วยเทคนิคพิเศษทำให้ภาพยนตร์จริงๆ กลายเป็นลายเส้นซึ่งทำได้ดีมาก บ้านเราอาจจะไม่ค่อยรู้จักพระเอกหล่อคนนี้ แบรดลี่ เจมส์ เขารับบทเด่นในซีรีส์ไตรภาค Medici ภาคแรก แนะนำให้หาดูครับ

หนังเล่าเรื่องตระกูลเมดิซี่ เมืองฟลอเรนซ์ การก่อเกิดของดูโอโม่ กับงานศิลปะยุคเรอเนสซองส์บางชิ้น

เปิดกูเกิล เรียกเทคนิคการสร้างหนังการ์ตูนจากหนังของซีรีส์เรื่อง The Liberator นี้ว่า Trioscope Enhanced Hybrid Animation และว่า เป็นครั้งแรก ไม่ทราบรายละเอียดเทคโนโลยี แต่ในฐานะคนนั่งดูก็พบว่าแตกต่างจากงานของการ์ตูนสามเรื่อง Waking Life, A Scanner Darkly, Apollo 10 1/2 A Space Age Childhood ของริชาร์ด ลิงก์เลเตอร์ อย่างเห็นได้ชัด

ซีรีส์อย่าง The Liberator นี้หากสร้างเป็นหนังจริงๆ อาจจะมิได้รับคำชมเชยเท่านี้ เพราะนอกจากเนื้อเรื่องบางตอนที่อาจจะดูดราม่าเกินไปนิด การแสดงและออกท่าออกทางของตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเอกของเรามีลักษณะของโอเวอร์แอ๊กชั่นอยู่บ่อยครั้ง

แต่เพราะเป็นการ์ตูนจึงจำเป็น ไม่เพียงจำเป็น แต่ดูดีเลยทีเดียว รอยขีดบนแก้มแต่ละคนให้ความรู้สึกเหนือจริงได้อยู่เรื่อยๆ รอยฝ้าฟางบนเลนส์หน้ากล้องทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ดูเหมือนฝัน

แต่ท่ามกลางความโอเวอร์นั้นเอง เทคนิคนี้และรอยฝ้าฟางที่เห็นกลับช่วยลดทอนความรุนแรงของสงครามและการฆ่าไปได้มาก ฉากรบที่ถึงเลือดถึงเนื้อดูซอฟต์ลง ฉากเลือดพุ่งจากร่างกายเพราะถูกยิงดูน่ากลัวน้อยลงแม้จะเป็นสีแดง ฉากทหารราบถูกระเบิดร่างกระจุยต่อหน้ายอมรับได้

แม้แต่ฉากแขวนคอวีรบุรุษสงครามต่อหน้าภรรยาในตอนสุดท้ายก็พอจะนั่งดูได้โดยไม่ต้องปิดตา

 

 

หนังสร้างจากหนังสือเรื่อง The Liberator : One World War II Soldier’s 500-Day Odyssey ของ Alex Kershaw

หนังแบ่งเป็น 4 ตอน ความยาวตอนละไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เล่าเรื่อง 4 เหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่ปี 2543 จนถึงสงครามในยุโรปสงบลง

ลูกทีมของพระเอกได้ไปรบญี่ปุ่นต่อ แต่พระเอกของเราขึ้นศาลทหารแล้วถูกปลด

ตัวจริงของพระเอกคือ Felix Sparks (1917-2007) รับบทโดยแบรดลี่ เจมส์

หนังดูสนุกทุกตอนครับ จะดูเอาความสนุกก็ได้ ดูเอาความโหดร้ายของสงครามก็ได้

แต่ละตอนจะมีเรื่องเล็กๆ หรือคำพูดไม่กี่คำที่น่าประทับใจให้ได้ยินเสมอๆ

นี่ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง คือจริงหมดทุกฉากทุกตอนไปเลย เฟลิกซ์ สปาร์ก คนนี้เป็นพระเอกมากๆ

ตอนที่ 1 เริ่มต้นในปี 1943

เฟลิกซ์ สปาร์ก ได้รับคำสั่งให้ฝึกกองทหารเหลือขอที่อยู่ในคุก แต่ละคนทำผิดกันคนละอย่างสองอย่าง เมาอาละวาด ขาดราชการ ทำร้ายสารวัตรทหาร

เมื่อสปาร์กเดินเข้าไปในที่คุมขังครั้งแรกสิ่งที่เขาเห็นคือนี่เป็นพลทหารลูกร้อยพ่อพันแม่ เกือบทั้งหมดเป็นอิตาเลียน เม็กซิกัน หรือไม่ก็อินเดียนแดง ต่อสู้ด้วยมือเปล่าได้อย่างถึงลูกถึงคน ไปจนถึงถลกหนังหัวคนก็เป็น

ที่แน่ๆ คือแต่ละคนอึดมาก ไม่ฟังคำสั่ง และพร้อมจะฟัดกันเอง

ฉากน่าดูฉากแรกจึงย่อมเป็นฉากซื้อใจ มีหนังลักษณะนี้มาก่อนแล้ว ขอคนแก่ยกตัวอย่าง 12 เดนตาย The Dirty Dozen ปี 1967 ลี มาร์วิน นำนักโทษกลุ่มหนึ่งไปปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันตรายในสงครามโลกครั้งที่สอง ขนนักแสดงทั่วฟ้าฮอลลีวู้ดมาเพียบ ใครอยากเห็นโดนัลด์ ซูเทอร์แลนด์ ตอนหนุ่มหมาดเรื่องนี้ได้เลย หนังฉายโรงสยามสแควร์บ้านเรานานเป็นเดือน

อีกเรื่องหนึ่งคือ Garrison’s Gorillas เป็นหนังทีวี 26 ตอนออกมาตามรอย 12 เดนตายระหว่างปี 1967-1968 ฉายบ้านเราทางโทรทัศน์ช่องสี่บางขุนพรหมทุกสัปดาห์ หนังมันมาก เล่าเรื่องนายทหารที่พานักโทษ 4 คนออกปฏิบัติการลับช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเช่นเดียวกัน

ตอนแรกของ The Liberator นี้จบลงด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสในช่องท้องของสปาร์ก เขาได้รับการปลดตั้งแต่แรก แต่กองทหารลูกผสมที่เป็นหมาหัวเน่าไม่มีใครต้องการของเขาถูกส่งไปอิตาลี สปาร์กเขียนจดหมายถึงภรรยาที่กำลังมีลูกน้อย ขอโทษและอธิบายเหตุผลที่เขาไม่สามารถทอดทิ้งลูกทีมตอนนี้ได้ เพราะถ้าเขาทำ เขาจะมองหน้าตนเองไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิตที่เหลือ (จะเห็นว่าหลายๆ ครั้ง คนเราทำดีเพื่อคนอื่นก็ใช่ แต่เพื่อตนเองก็ใช่ด้วย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง)

สปาร์กจึงไม่ยอมกลับบ้าน เขาฝ่าฝืนคำสั่ง หลบหนีออกจากโรงพยาบาลทหาร แล้วแอบขึ้นเครื่องบินไปอิตาลี ไปแนวหน้าสมทบลูกทีมของเขาในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง นั่นคือแอนซิโอ (คนแก่ชวนดูหนัง Anzio ปี 1968 นำโดยโรเบิร์ต มิตชั่ม)

ตอนที่สอง สงครามที่แอนซิโอ (Battle of Anzio)

เป็นสงครามที่กินเวลา 5 เดือนในตอนต้นปี 1944

สปาร์กและกองทหารของเขาประกอบวีรกรรมกล้าหาญในการสกัดกั้นการเดินทัพของเยอรมันที่สะพานแห่งหนึ่ง จะเรียกว่าสะพานนรกสำหรับพวกเขาก็ได้

สามารถช่วยชีวิตพลเรือน เด็กๆ และหน่วยใต้ดินอิตาลีได้แต่ก็สูญเสียลูกทีมไปจำนวนมากด้วย

มีคำพูดดีๆ ในตอนนี้เมื่อพลทหารคนหนึ่งกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

“ความกลัวเป็นปฏิกิริยา ความกล้าเป็นการเลือก”

ตอนที่สาม เปิดฉากด้วยการยกพลขึ้นบกที่คานส์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

สปาร์กและทีมอดแปลกใจมิได้ที่ไม่มีการต่อต้าน ที่แท้เยอรมันถอนทัพไปก่อนแล้ว ชาวฝรั่งเศสโห่ร้องต้อนรับพวกเขาอย่างเอิกเกริก

ตอนนี้พวกเขากลายเป็น “ผู้ปลดปล่อย” ตามชื่อหนัง ซึ่งสปาร์กก็รู้สึกประดักประเดิดกับการได้รับไวน์ยื่นถึงมือไม่เว้นแต่ละวัน

แต่ชื่นมื่นได้ไม่นาน ตอนนี้สปาร์กต้องพาลูกทีมไปยึดที่มั่นแห่งหนึ่งอันเป็นส่วนหนึ่งของสงครามที่อาร์เดนส์ เบลเยียม อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Battle of the Bulge ระหว่างเดือนธันวาคมปี 1944 ถึงมกราคมปี 1945 (ขอคนแก่เล่าต่อ หนังปี 1965 Battle of the Bulge ในชื่อไทยว่า รถถังประจัญบาน นำแสดงโดยเฮนรี่ ฟอนด้า และโรเบิร์ต ชอวส์ ฉายโรงสยามสแควร์นานหลายเดือนอีกเช่นกัน ทศวรรษที่ 60 เป็นช่วงสงครามเย็นและสหรัฐอเมริกายังเป็นวีรบุรุษของโลกอยู่มากจึงมีหนังสงครามเชิดชูสหรัฐออกมาเรื่อยๆ)

สปาร์กได้รับเหรียญกล้าหาญจากปฏิบัติการที่แอนซิโอ แต่เขาไม่สบายใจนักเพราะลูกน้องตายไปอีกหลายคน กับภารกิจใหม่ยึดที่มั่นบนยอดเขาหิมะแห่งหนึ่งนี้ เขารู้แก่ใจว่าเป็นภารกิจฆ่าตัวตายแต่คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง เขารู้ว่างานนี้ไม่มีทางสำเร็จเพราะเพียงแค่นาซีตั้งปืนกลและพลแม่นปืนไว้สองจุดพวกเขาก็ไปต่อไม่ได้แล้ว พวกเขาและเหรียญกล้าหาญที่ให้มาเป็นหมากบนกระดาน

ในกองทหารของเขาตอนนี้มีพ่อลูกคู่หนึ่งร่วมรบด้วย เมื่อคนเป็นพ่อถูกถามว่าแก่แล้วยังมารบทำไม เขาตอบว่า “ผมไม่อยากได้ข่าวลูกจากจดหมาย”

แล้วกองทหารของเขาก็จนมุมที่ช่องแคบบนภูเขาหิมะที่โปรยปราย หลายคนนอนบาดเจ็บในกองหิมะรอหนาวตายแต่ไม่มีใครออกไปช่วยได้ เวลานั้นสปาร์กอยู่แนวหลัง เขาขึ้นรถจี๊ปฝ่าหิมะไปถึงช่องแคบ เขาวิ่งเข้าไปในแดนสังหารคนเดียวเพื่อแบกทหารบาดเจ็บทีละคนๆ ออกมา ไม่มีกระสุนนัดไหนเจาะเขาเลย

“ทำไมไม่ยิง” พลทหารเยอรมันหันมาถามพลปืนกล

“เราเลือกได้” พลปืนกลตอบ พลแม่นปืนก็นั่งมองเฉยเช่นกัน

สปาร์กเขียนจดหมายหาภรรยาสม่ำเสมอ ขอโทษแล้วขอโทษอีกที่เขากลับบ้านยังไม่ได้

หนังมาถึง ตอนที่สี่ อันเป็นตอนอวสานเมื่อฮิตเลอร์ยิงตัวตายแล้ว สปาร์กนำกองกำลังของเขาเข้าปลดปล่อยค่ายกักกันชาวยิวแห่งหนึ่ง

ตอนนี้เทคนิคการ์ตูนที่ทำช่วยลดความน่ากลัวและกลิ่นที่ตลบอบอวลลงได้มาก

นายทหารของเขาคนหนึ่งระเบิดอารมณ์เมื่อเห็นซากศพชาวยิวกองสุมในตู้รถไฟหลายตู้ เขาสั่งทหารเยอรมันที่นอนบาดเจ็บในโรงพยาบาลให้ออกมายืนเรียงแถวหน้ากระดานเพื่อเตรียมประหาร

สปาร์กทราบข่าวรีบวิ่งไปสกัดแต่ไม่ทันการณ์ เชลยเยอรมันซึ่งทุกคนอยู่ในสถานะผู้ป่วยตาย 17 คน

งานนี้ต้องมีแพะรับบาป เพราะการเจรจาสันติภาพกำลังเริ่ม

ผู้พิจารณาคดีของเขาคือนายพลแพ็ตตัน ผู้มีประวัติปฏิบัติการในสงคราม 350 วัน ในขณะที่สปาร์กรบมาแล้ว 500 วัน

คิดว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร •

 

การ์ตูนที่รัก | นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์