Deerfield, Massachusetts, USA Part 2 Historic Deerfield เมืองประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตอยู่

อัษฎา อาทรไผท

Deerfield, Massachusetts, USA Part 2 Historic Deerfield เมืองประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตอยู่

หลังจากได้ทราบประวัติคร่าว ๆ ของ Deerfield กันไปในตอนที่แล้ว ครั้งนี้เรากลับมาสู่ยุคปัจจุบัน เมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองประวัติศาสตร์ ที่อุดมไปด้วยกลิ่นอายแห่งอดีตกาล เพราะสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ถูกเก็บรักษาไว้ให้ใหม่เหมือนเมื่อ 3 ศตวรรษก่อน ให้ผู้คนได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบ New England แท้ ๆ กันได้ที่นี่

ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับคุณ Henry Flynt และภริยา แห่งเมือง Greenwich รัฐ Connecticut ผู้ส่งลูกชายมาเรียนที่ Deerfield Academy ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองชื่อเดียวกันนี้ในปี ค.ศ.1936 ทั้งคู่เป็นผู้หลงใหลในโบราณวัตถุและรักการบูรณะบ้านเก่า ได้มาซื้อบ้านโบราณหลังหนึ่งไม่ห่างจากโรงเรียนไว้เพื่อจะได้อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน และตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โบราณทุกกระเบียดนิ้ว ให้เหมือนเมื่อสมัยก่อนอเมริกาประกาศอิสระภาพจากอังกฤษ

แม้ลูกเรียนจบไปแล้ว ทั้งสองยังผูกพันกับเมืองและโรงเรียน Deerfield อย่างมาก ทำประโยชน์ให้ที่นี่ต่อไปจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะผู้ดูแลผลประโยชน์ของโรงเรียน ซึ่งครูใหญ่ของโรงเรียนก็ได้ชักชวนให้คุณ Henry Flynt ซื้อบ้านเก่าที่เรียงรายอยู่สองข้างถนนที่ทอดยาวประมาณ 1 ไมล์ผ่านกลางเมืองเก่าแห่งนี้ แล้วค่อย ๆ บูรณะปรับปรุงให้กลับมามีสภาพดังเดิม โดยมีการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์อย่างถี่ถ้วนประกอบ

ในที่สุดบ้านอายุราว 2-300 ปี จำนวน 12 หลัง ก็ได้รับการคืนสภาพให้เหมือนดั่งเดิม พร้อมตกแต่งด้วยเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์จากปี ค.ศ. 1650 – 1850 หรือ 375-172 ปีที่ แล้วอย่างครบครัน แล้วสถาปนาองค์กร Historic Deerfield ขึ้นในปี ค.ศ. 1952 ทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้คนได้มาศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษของพวกเขาในยุคก่อน

นอกจากจะมีบ้านหลายหลังแล้ว Historic Deerfield ยังซื้อโรงแรมเล็ก ๆ ขนาด 24 ห้อง ที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1884 ไว้ด้วย ซึ่งโรงแรมนี้ใครอยากมาพัก ถ้าเป็นฤดูท่องเที่ยวต้องจองกันข้ามปีเลยทีเดียว ผมเองพยายามจองแต่ไม่สำเร็จ จึงได้แต่ไปรับประทานอาหารที่ร้าน Champney’s ในโรงแรมแทน อาหารที่นี่อร่อย เขาคัดเลือกวัตถุดิบท้องถิ่น มาปรุงอาหารแบบ New England ให้ทาน ในราคาที่สมเหตุสมผล ผมได้ลองสั่งหอยนางรมชุบแป้งทอด เวลาทานบีบเลม่อน จิ้มซ้อสทาร์ทาร์ ได้รสชาติของทะเลผสมความเปรี้ยวและความมันเข้มข้น จนต้องสั่งปลาหมึกชุบแป้งทอดมาสานต่อความอร่อยอีกจาน

เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินสำรวจเมือง หากอยากจะเดินเฉย ๆ แบบไม่มีใครให้ความรู้อะไร สามารถเดินได้เลยฟรี ๆ แต่ถ้าสนใจจะเข้าไปในบ้านโบราณ พิพิธภัณฑ์ และร่วมกิจกรรมเช่น วอล์คกิ้งทัวร์ ที่มีทั้งพาชมเมืองพร้อมเล่าประวัติศาสตร์ พาชมเมืองพร้อมอธิบายสถาปัตยกรรม หรือพาชมสุสานโบราณพร้อมเล่าเรื่อง ทุกกิจกรรมมีตารางเวลาระบุไว้ชัดเจน ส่วนบ้านแต่ละหลังจะเปิดให้เข้าชมพร้อมมีไกด์บรรยายทุกชั่วโมงตลอดวัน

ผมเลือกจ่าย 18 เหรียญ เพื่อที่จะร่วมทัวร์และเข้าชมบ้านต่าง ๆ เริ่มจากวอล์คกิ้งทัวร์สถาปัตยกรรมก่อน เขานัดให้มาพบไกด์ที่หน้าอาคาร Flynt Center พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ต้นถนน Old Main Street ในอาคารมี 2 ชั้น ข้างในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของผู้มาตั้งรกราก ชาว New England ตั้งแต่เมื่อ 375-200 ปีก่อน พร้อมรายละเอียดไว้มากมาย ถ้ามาก่อนเวลาทัวร์ก็สามารถใช้เวลาเดินชมได้อย่างไม่เบื่อ

เมื่อทัวร์เริ่ม เราเดินไปตามถนน ผ่านบ้านช่องต่าง ๆ ไปจนสุดถนน ระหว่างทางได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของบ้านหลังต่าง ๆ และเหตุผลของการตกแต่ง เช่นบ้านหลังที่เจ้าของร่ำรวย ก็จะมีการตกแต่งซุ้มประตูบ้านอย่างวิจิตรบรรจง ถ้าเจ้าของบ้านฐานะรองลงมา ความสวยงามของซุ้มประตูก็ลดลง

ระหว่างทาง จะมีบ้านที่ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์อยู่เป็นระยะ ๆ ทุกชั่วโมงจะมีบริการพาทัวร์ด้านในโดยบรรดาคุณป้าใจดี เหล่าป้าเป็นคนในท้องถิ่นที่เกษียณแล้ว มีความกระตือรือล้นและความรู้แน่นมาก พาผู้สนใจที่ซื้อทัวร์เดินชม โดยแต่ละหลังด้านในจะไม่เหมือนกัน บางหลังเน้นแสดงความเป็นอยู่ บางหลังโชว์เฟอร์นิเจอร์ บางหลังแสดงหัตถกรรม และบางหลังเคยเป็นที่พักของ Henry Flynt เอง ซึ่งเขาตั้งใจตกแต่งในแบบที่คนสมัยก่อนอยู่ โดยค้นคว้าจากบันทึกเจ้าของเก่า และจัดบ้านด้วยวัตถุโบราณที่มากับบ้านและที่หามาได้ให้ตรงตามความเป็นจริงที่สุด

มีบ้านหลังหนึ่งทาสีฟ้า ชื่อว่า Wells-Thorn House เขาทาแบบนั้นมาตั้งแต่ 200 ปีก่อน ตำนานเล่าว่าเจ้าของมีอาชีพทนาย เขาอยากให้บ้านดูโดดเด่น สมัยก่อนไม่มี Google Map บ้านสีไม่เหมือนใครช่วยนำทางใครมาหาจะได้หาเจอง่าย ๆ บางคนก็หาว่าเจ้าของอยากโชว์ว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต เลยนำสีฟ้าที่สมัยนั้นจัดเป็นสีหายากและแพง มาแสดงฐานะ สำหรับผมแล้ว นี่คือบ้านที่น่าสนใจที่สุด เพราะนอกจากมันจะสีฟ้าแล้ว ที่นี่ยังได้รับการต่อเติมมาถึงสามสมัย

สมัยแรกเป็นบ้านที่มีห้องเดียว เตาผิงอยู่ตรงกลาง ครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน คือห้องเดียวกัน ส่วนอาหารแขวนไว้บนเพดานเพื่อกันหนูมาแย่งกิน ยุคต่อมาเขาต่อเติมบ้านออกไปอีกห้อง เริ่มมีหน้าต่าง เตียงนอน และโต๊ะทำงานดี ๆ ไว้ใช้ แล้วเปลี่ยนห้องแรกเป็นครัว และท้ายที่สุดมีการต่อเติมอีกครั้งเมื่อความเจริญเริ่มมาถึง Deerfield ด้วยห้องที่ทาสีสวยงาม ติดม่าน ประดับกรอบรูป กระจกเงา และตกแต่งอย่างมีฐานะ

เมื่อเข้ามาชมบ้านนี้ จะได้สัมผัสความเป็นอยู่ของชาว New England ตั้งแต่ ค.ศ. 1747 – 1850 ครอบคลุมยุคแรกเริ่ม มาถึงยุคที่ปกครองโดยอังกฤษ ตามด้วยยุคหลังประกาศอิสระภาพ ซึ่งทั้งสามยุคที่กล่าวถึงล้วนผ่านมายาวนานมากแล้ว

ใครชอบประวัติศาสตร์ ที่ Historic Deerfield มีทั้งเรื่องราว และสิ่งปลูกสร้างที่เราสามารถเดินเข้าไป ย้อนอดีตสู่อเมริกันในยุคที่บ้านเรายังเป็นอาณาจักรอยุธยา ได้ละเลียดกลิ่นอายอดีตในปัจจุบันได้อย่างเต็มปอด

มาถึงตอนนี้ เราทำความรู้จักเมืองแล้ว เดินซึมซับสถาปัตยกรรมแล้ว ตอนหน้าเราจะไปทำความรู้จักกับ Deerfield Academy โรงเรียนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกากันครับ