มุมมอง ‘โกวเล้ง’ ต่อ วิญญูชน ปัญญาชน ผ่านบท ‘อาฮุย’ | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

มุมมอง ‘โกวเล้ง’

ต่อ วิญญูชน ปัญญาชน

ผ่านบท ‘อาฮุย’

 

คล้ายกับว่าการสนทนาระหว่างลิ่มซีอิมกับเล้งโซ่วฮุ้นจะเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างสามีกับภรรยา ระหว่างคนเป็นมารดากับคนเป็นบิดาของอั้งไฮ้ยี้

แต่เนื่องจากทั้งสองล้วนเกี่ยวพันอยู่กับลี้คิมฮวง

ความนัยของความสัมพันธ์เมื่อนำมาวางเรียงอยู่เคียงกับสถานการณ์ที่ลี้คิมฮวงถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรดอกเหมย

จึงมากด้วยความละเอียดอ่อนและอ่อนไหว

ที่น่าตื่นตาระทึกใจเพราะเล้งเซ่าฮุ้นพลันคุกเข่าลงตรงหน้าลี้ชิ้มฮัว หลั่งน้ำตากล่าวว่า “น้องเรา เราเสียใจต่อท่าน เพียงวิงวอนท่านยกโทษแก่เรา”

“ยกโทษให้แก่ท่าน” ลี้ชิ้มฮัวทวนคำด้วยความสงสัย

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าพวกท่านกล่าวว่ากระไร ข้าพเจ้าบ่งบอกต่อท่านแต่แรกแล้วว่า นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน หากข้าพเจ้าคิดจากไปก็มีหนทางไปเองมิต้องให้พวกท่านช่วยเหลือข้าพเจ้า”

มันยังคงมองดูปลายเท้าตัวเอง ทั้งนี้เพราะไม่อาจมองดูสามี ภรรยาคู่นี้อีก ด้วยกริ่งเกรงว่าตัวเองอดหลั่งน้ำตาออกมามิได้

ที่ไม่ควรมองข้ามกลับเป็นข้อเสนอจากเล้งเซ่าฮุ้น

 

“น้องเรา เราล่วงรู้ความคับแค้นที่ท่านได้รับเป็นอย่างดี แต่เราสามารถรับประกัน พวกเขาจะไม่ทำร้ายท่านถึงแก่ชีวิต ขอเพียงท่านเข้าพบซิมโอ้วไต้ซือก็ไม่มีเรื่องราวใดแล้ว”

คำกล่าวนี้ย่อมสร้างความสงสัยแก่ลี้ชิ้มฮัว

“ซิมโอ้วไต้ซือละหรือ หรือว่าพวกเขาคิดส่งข้าพเจ้าไปยังวัดเสียวลิ้มยี่ เพื่อเข้าพบเจ้าอาวาสเสียวลิ้มยี่ ซิมโอ้วไต้ซือ”

“มิผิด” เป็นคำของเล้งเซ่าฮุ้น

“ฉิ้งเต้ง แม้เป็นศิษย์รักของซิมโอ้วไต้ซือ แต่ซิมโอ้วไต้ซือต้องไม่ปรักปรำคนดี อย่าว่าแต่ตอนนี้แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง (ท่านร้อยเปรื่องปราด) ผู้อาวุโสก็อยู่ที่เสียวลิ้มยี่ ท่านผู้เฒ่าต้องธำรงความยุติธรรมให้แก่ท่าน”

ลี้ชิ้มฮัวไม่กล่าวกระไรอีก ทั้งนี้เพราะเขาพบเห็นฉั้งฉิกแล้ว

พริบตาที่ฉั้งฉิกปรากฏกาย ลิ่มซีอิมคืนสู่ความสงบ ผงกศีรษะให้แก่ฉั้งฉิกเล็กน้อยเดินช้าๆ ออกไป

 

ท่วงท่าอากัปกิริยาแต่ละก้าวย่างของลิ่มซีอิมน่าสนใจ น่าจับตาติดตามอยู่แล้ว แต่ละก้าวย่างของลิ่มเซียนยี้ยิ่งไม่ควรให้คลาดจากสายตา

โดยเฉพาะเมื่อนางไปเยือนอาฮุย ณ ศาลบูชาเพื่อแจ้งข่าว

“ฉั้งฉิกและพวกได้ยอมรับข้อเสนอของซิมไบ๊ไต้ซือส่งลี้ชิ้มฮัวไปยังวัดเสียวลิ้มยี่ เจ้าอาวาสเสียวลิ้มยี่ซิมโอ้วไต้ซือ รักษาความเที่ยงธรรมตลอดมา มิหนำซ้ำฟังว่าแป๊ะเฮี่ยวเซ็งก็อยู่ที่นั่น หากบุคคลทั้งสองนี้ยังไม่สามารถล้างมลทินให้แก่ลี้ชิ้มฮัวก็ไม่มีผู้อื่นสามารถแล้ว”

“แป๊ะเฮี่ยวเซ็งหรือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็งเป็นใคร” เป็นคำถามจากอาฮุย

“คนผู้นี้เป็นปัญญาชนอันดับหนึ่งของแผ่นดิน รอบรู้ทุกสิ่ง แตกฉานทุกประการ มิหนำซ้ำ ฟังว่ามีแต่แป๊ะเฮี่ยวเซ็งจึงสามารถจำแนกลักษณะจริง เท็จ ของโจรดอกเหมยออก”

อาฮุยเงียบงันอยู่ชั่วขณะ พลันลืมตาถลึงมองลิ่มเซียนยี้

“ท่านทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่น่าชิงชังที่สุดในโลกเป็นบุคคลประเภทใด”

ลิ่มเซียนยี้คล้ายไม่กล้าประสานสบกับสายตาอันแหลมคมของอาฮุย กลอกตาคู่งาม ยิ้มพลางกล่าว “หรือว่าเป็นวิญญูชนจอมปลอมเช่นเตี่ยเจี่ยหงี”

“วิญญูชนจอมปลอมน่าแค้น ผู้รอบรู้สารพันจึงน่าชิงชัง”

ได้ยินดังนั้นลิ่มเซียนยี้ทวนคำว่า “ผู้รอบรู้สารพันหรือ หรือท่านหมายถึงแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง” เป็นคำถามในเชิงยั่วเร้า

“มิผิด” เป็นการยืนยันอย่างหนักแน่นจากอาฮุย

 

ประสบการณ์ในวงพวกนักเลงของอาฮุยอาจอยู่ในขั้น “ทารก” แต่ประสบการณ์ในการมองและประเมินผู้คนของมันคมเฉียบ

แทงทะลุถึงสภาพความเป็นจริงที่อำพราง ซ่อนเร้น

“บุคคลเช่นนี้อวดฉลาด ยกตนว่าสูงส่ง เข้าใจว่าตัวเองล่วงรู้ทุกเรื่องราว อาศัยคำพูดของมันประโยคหนึ่งก็สามารถกำหนดโชคชะตาของผู้อื่น ซึ่งความจริงเรื่องราวที่มันล่วงรู้อย่างถ่องแท้มีมากน้อยเท่าใด”

“แต่ผู้อื่นล้วนบอกว่า” เป็นคำแย้งจากลิ่มเซียนยี้

อาฮุยแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา “เนื่องด้วยผู้อื่นล้วนบอกว่ามันล่วงรู้ทุกสิ่ง เมื่อถึงตอนท้ายมันได้แต่หลอกตัวเอง แล้วแสร้งเป็นรอบรู้ทุกสิ่งหรือ”

“ท่านไม่เชื่อถือมัน กระนั้นหรือ” นางหมายถึงแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง

“ข้าพเจ้ายินยอมเชื่อถือคนที่ไม่ทราบอันใดมากกว่า” เป็นการยืนยันอย่างยืนหยัดจากอาฮุย

ท่าทีต่อแป๊ะเฮี่ยวเซ็งของอาฮุยน่าสนใจ

 

สมควรนำเอาสำนวนแปลของ ว. ณ เมืองลุง มาเปรียบเทียบกับสำนวนแปลข้างต้นอันเป็นของ น.นพรัตน์

เป้าหมายมิใช่ “ประชัน” หากต้องการฉายชี้ความคิดของ “โกวเล้ง”

เมื่อรับฟังคำกล่าวของลิ่มเซียนยี้ที่ว่า “ฟังว่า แป๊ะเฮี่ยวเซ็งแห่งเพ้งโอ๊วก็อยู่ที่นั่น” อาฮุยถามขึ้น

“แป๊ะเฮี่ยวเซ็งหรือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็งเป็นผู้ใด”

“คนผู้นี้นับเป็นผู้ปราดเปรื่องอันดับหนึ่งของปัจจุบัน ความรู้กว้างขวางลึกซึ้งกระจ่างทั้งไตรภพ และยังฟังว่ามีแต่ท่านเท่านั้นที่สามารถพิสูจน์เท็จจริงของบ๊วยฮวยเต๋าออก”

อาฮุยอึ้งอยู่สักครู่หนึ่งพลันลืมตาขึ้นถลึงจ้องลิ่มเซียนยี้แล้วกล่าว

“ท่านทราบหรือไม่ คนน่าชิงชังที่สุดในโลกคือคนประเภทใด”

ลิ่มเซียนยี้คล้ายดั่งไม่กล้าประสานตาอันคมกล้านี้ นางกลอกตาไปมาพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม

“หรือเป็นพวกวิญญูชนจอมปลอมเช่นเตี่ยเจี้ยอั้ว”

“วิญญูชนจอมปลอมน่าชัง สัพพัญญู (รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง) ยิ่งน่ารังเกียจชิงชัง”

“สัพพัญญู หรือท่านหมายถึงแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง”

“ใช่ คนประเภทนี้อวดอ้างว่าฉลาดปราดเปรื่อง ประโคมตัวเองสูงส่งเหนือธรรมดา เข้าใจ ว่ามันรอบรู้ในทุกเรื่องราว อาศัยคำพูดของพวกมันก็สามารถระบุชะตาชีวิตผู้อื่น ความจริงแล้ว เรื่องราวที่พวกมันรู้อย่างแท้จริงกลับมีอยู่สักเท่าใด”

“แต่ผู้อื่นต่างว่า”

“เฮอะ เนื่องเพราะผู้อื่นต่างว่ามันรอบรู้ทุกศาสตร์สาขา เปรื่องปราดในทุกหลักวิชา พอถึงตอนหลังมันก็ต้องมีแต่หลอกลวงตัวเอง อาศัยความรู้สึกนึกคิดไปยืนกรานระบุเรื่องราว”

“ท่าน ท่านไม่เชื่อถือมัน”

“ข้าพเจ้ายินยอมเชื่อถือคนที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ เสียเลย”

 

ทั้งหมดนี้แต่ละถ้อยคำของอาฮุยล้วนดำเนินไปในลักษณะอันเป็น “ตัวแทน” เหมือนกับจะเป็นตัวแทนแห่งความรู้สึกของลี้คิมฮวง

ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเป็นตัวแทนแห่ง “โกวเล้ง”

การวางบทบาทให้มีคนอย่างฉั้งฉิก อย่างเตี่ยเจี่ยหงี มาแวดล้อมอยู่โดยรอบเงาร่างของเล้งโซ่วฮุ้น

นั่นดำเนินไปอย่างเป็นอุปมาฉันใด อุปไมยฉันนั้น

หากมองจากด้านของลี้คิมฮวง การเห็นเล้งโซ่วฮุ้นสาบานเป็นเฮียตี๋กับคนอย่างเตี่ยเจี่ยหงีกับคนอย่างฉั้งฉิก

ย่อมเป็น “คำถาม”

ขณะเดียวกัน “โกวเล้ง” ก็ได้คลี่ตัวตนและความเป็นจริงของเตี่ยเจี่ยหงีให้ปรากฏ ณ เบื้องหน้าอาฮุยเมื่อต้องตัดสินชะตากรรมทิท้วงกะ

ภาพของ “วิญญูชนจอมปลอม” จึงเด่นชัด

เมื่ออาฮุยมาประสบพบเห็นเตี่ยเจี่ยหงีอีกคำรบหนึ่งภายในตึกเมฆเรืองโรจน์จึงยิ่งเพิ่มความแคลงคลาง กังขา

ถึงขั้นมุ่งร้ายหมายปลิดชีวิตภายในดาบเดียว

การวางภาพของเล้งโซ่วฮุ้นที่แวดล้อมด้วยวิญญูชน “จอมเปลอม” เหล่านี้คือการหว่านเมล็ดพันธุ์ในทางความคิด

ก่อภาพของเล้งโซ่วฮุ้นให้เป็นไปตามที่กำหนด

 

ขณะเดียวกัน ก็นำเอาภาพของลิ่มเซียนยี้ที่นำข่าวการจะคุมตัวลี้คิมฮวงจากตึกเมฆเรืองโรจน์ไปยังวัดเสียวลิ้มยี่มาบอก

ถามว่านางต้องการอะไร

แท้จริงแล้วเป็นการสะท้อนความปรารถนาดี ความต้องการที่จะช่วยเหลือให้ลี้คิมฮวงรอดพ้นจากโพยภัยกระนั้นหรือ

มองเผินๆ อาจใช่

แต่หากนางเองก็มีความแค้นต่อลี้คิมฮวงอย่างลึกๆ ที่ไม่สามารถเอาชนะและพิชิตใจของมันลงได้อย่างราบคาบ

หากคิดว่าการเข้ามาอยู่ในตึกเมฆเรืองโรจน์ก็มีเป้าหมาย

การนำความลับในยุทธจักรที่จะมีการคุมตัวลี้คิมฮวงไปวัดเสียวลิ้มยี่จึงเป็นเจตนาการอันเร้นลับยิ่งของลิ่มเซียนยี้

ในฐานะผู้กุมวิถีดำเนินไปในแต่ละก้าวย่างของยุทธจักร