มองหาโอกาส | หนุ่มเมืองจันท์

วันก่อน อ่านเฟซบุ๊กของ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” เขาพูดถึงเรื่อง perfect storm ทางเศรษฐกิจ

“นานๆ เศรษฐกิจจะเกิดวิกฤตที่สำคัญ

ครั้งสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ก็คงเป็น

The Great Depression 1929-1939

Oil Price Shocks 1970s

Global Financial Crisis 2008”

ขึ้นต้นมาก็น่ากลัวแล้วครับ

เพราะ 3 วิกฤตการณ์ที่ยกตัวอย่างมาล้วนหนักหนาสาหัสทั้งสิ้น

“การได้อยู่ร่วมสมัยกับวิกฤต สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ ต้องถือว่าเป็นโชคดีของชีวิต

เพราะวิกฤตเป็นสิ่งที่อาจารย์ไม่ค่อยสอนในโรงเรียน

แต่ต้องเรียนรู้เองจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

น่าจดบันทึกไว้เป็นความทรงจำ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง :)”

อ่านแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ “กอบศักดิ์” เหมาะกับการเป็นนักวิชาการมากกว่านักการเมืองจริงๆ

เพราะถ้าเป็นรัฐมนตรี เจอวิกฤตแบบนี้คงกลุ้มใจ

แต่พอสวมหมวกนักเศรษฐศาสตร์ “วิกฤต” ที่เกิดขึ้นกลายเป็น “ข้อมูล” ที่มีค่า

เพราะมาจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่จาก “ตำรา” ที่เรียนมา

“กอบศักดิ์” มองว่าวิกฤตรอบนี้คงใช้เวลาประมาณ 3 ปี

และตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้แค่ 1 ใน 4

เหลืออีก 3 ใน 4

ยิ่งธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประกาศขึ้นดอกเบี้ยแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

กะจะจัดการ “เงินเฟ้อ” ให้อยู่หมัดให้ได้

พอยักษ์พลิกตัว โลกก็สะเทือน

ที่เห็นชัดมากคือ เรื่อง “ค่าเงิน”

ดอลลาร์แข็งอยู่เจ้าเดียว

ที่เหลือ “อ่อน” ลงทุกวัน

ผมเชื่อว่าค่าเงินที่ผันผวนแบบนี้ต้องนำมาสู่อะไรก็ไม่รู้

แต่ต้องไม่ดีอย่างแน่นอน

ตอนที่อ่านเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจที่ “กอบศักดิ์” เขียน

คนแรกที่ผมนึกถึง คือ “อาจารย์โกร่ง” ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

ถ้าท่านยังอยู่ คงได้นัดไปขอความรู้เพิ่ม

“อาจารย์โกร่ง” เป็นคนที่อธิบายเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย

เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีประสบการณ์สูงมาก

วิกฤตเศรษฐกิจ 3 ครั้งในอดีตที่ “กอบศักดิ์” ยกมา “อาจารย์โกร่ง” ผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง

และไม่ใช่ผ่านไปนั่งดูเฉยๆ แต่อยู่ในตำแหน่งที่เล่นจริง-เจ็บจริง

จึงได้ประสบการณ์จริง

“อาจารย์โกร่ง” ทำนายเรื่องเศรษฐกิจไม่ค่อยพลาด

ผมชอบคุยกับท่าน เพราะเวลาเอาไปเล่าต่อจะดูเป็นคนฉลาดมาก

ไปวงไหนก็ฉลาดวงนั้น

ตอนนี้ “อาจารย์โกร่ง” ไม่อยู่แล้ว ก็ต้องพึ่งพาอาจารย์กอบศักดิ์ อาจารย์ศุภวุฒิ สายเชื้อ และนักวิชาการอีกหลายคนจาก “เกียรตินาคินภัทร”

รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง

แต่ก็ต้องตาม

เพราะสัญญาณทางเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ดีเลย

ยิ่งเจอเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อยาวนาน

เหมือนโลกกำลังถูกเขย่าจากมือยักษ์หลายๆ ตน

หัวสั่นหัวคลอนกันไปเลย

ผมคิดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกก็คงจับสัญญาณได้

มีการปรับตัวเพื่อรับเศรษฐกิจถดถอย

“ซันดาร์ พิชัย” ซีอีโอของ “กูเกิล” ประกาศนโยบายใหม่

“ต้องฉลาด ประหยัด ขี้เหนียว เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลก

เขาลดงบประมาณด้านการเดินทาง ความบันเทิง ที่เคยเป็น “จุดขาย” ของ “กูเกิล” ลง

และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานอีกครั้ง

ส่วน Shopee ประเทศไทยปลดพนักงานนับร้อยชีวิต

หลังจากที่เคยปลดพนักงานล็อตใหญ่ไปล็อตหนึ่งแล้ว และยุติการดำเนินการในหลายประเทศ

แม้ Shopee จะได้รับความนิยมจากคนไทยมากแค่ไหน แต่ผลประกอบการที่ขาดทุนถึงเกือบ 5,000 กว่าล้านในปีที่ผ่านมา และกว่า 10,000 ล้านในช่วง 3 ปี

ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ต้องปรับตัว เพื่อรองรับกับความผันผวนทางเศรษฐกิจระลอกใหม่

…ที่ใหญ่มาก

ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต เรามักจะได้ยินคำว่า “วิกฤตคือโอกาส”

หมายความว่าท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น จะมีบางคนมองเห็น “โอกาส” ที่แทรกตัวอยู่ใน “วิกฤต” นั้น

มีคนบอกว่าขนาดสงครามโลก ยังมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นเลย

วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ก็เช่นกัน

ผมเชื่อว่าจะมีคนที่เห็น “โอกาส”

และใช้ประโยชน์จาก “โอกาส” ที่มองเห็น

อย่างตอนที่ Shopee ประเทศไทยประกาศปลดพนักงาน

ในขณะที่ทุกคนมองว่าเศรษฐกิจต้องแย่แน่ๆ

ขนาด Shopee ยังปลดคนเลย

น้องคนหนึ่งขาย “ยาสีฟันแฮวอน” ที่ขายดีมากในช่องทางออนไลน์

เขาโพสต์ลงเฟซบุ๊กของเขาเลย

“รับสมัครพนักงาน shopee ที่โดน Layoff ยื่น Resume มาเลย”

โห…เร็วมาก

และเฉียบมาก

เพราะพนักงานของ Shopee ที่โดนปลดออก ไม่ใช่ “คนไม่เก่ง”

ในแวดวงขายของออนไลน์นั้นถือว่า Shopee คือ เบอร์ 1

ใครได้เข้าไปทำงาน ถือว่าเป็น “คนเก่ง”

แต่ที่โดนปลดออก เพราะเป็นนโยบายระดับโลกที่จะลดคน

คนกลุ่มนี้จึงเป็นทรัพยากรที่มีค่า

นอกจากนั้น การผ่าน Shopee มา ทำให้เขามี “โนว์ฮาว” ของเบอร์ 1 ติดตัวมาด้วย

รู้ว่า Shopee คิดอะไร ทำแบบไหน

ซึ่งสินค้าต่างๆ ก็ขายผ่าน Shopee กันทั้งนั้น

นี่คือมูลค่าเพิ่มของคนกลุ่มนี้

ครับ ท่ามกลาง “วิกฤต” มี “โอกาส” อยู่เสมอ •