อุดมการณ์ไทย ไม่ต้องมีเลือกตั้ง? | เหยี่ยวถลาลม

ถ้าจะกล่าวว่า สถานการณ์การเมือง พ.ศ.นี้แย่กว่ายุคหลัง 6 ตุลาคม 2519 หลายคนคงจะสงสัย “เป็นไปได้อย่างไร”

“6 ตุลาคม 2519” ชนชั้นนำกับกลุ่มขวาจัดผลักไสลูกหลานที่เป็นนักศึกษาและปัญญาชนเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ต่อสู้กับรัฐบาลไทยด้วยอาวุธ

คราวนั้นยังไม่ทันสิ้นกลิ่นคาวเลือดจากการล้อมฆ่า รัฐบาลไทยก็พบกับความจริงว่า การล้อมปราบนิสิตนักศึกษาปัญญาชนในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้ส่งผลให้คู่ต่อสู้เติบใหญ่ก้าวกระโดด

กองทัพปลดแอกฯ ของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยพัฒนาทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี กลายเป็นคู่ต่อสู้ชนิดที่หากประมาทหรือพลาดท่า กองทัพไทยอาจพังพาบในสงครามประชาชนเฉกเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม

ตั้งแต่ห้วงปี 2522 เป็นต้นมา ประชาธิปไตยไทยจึงแตกใบอ่อน ชนชั้นนำและรัฐบาลไทยปรับตัว ปรับหัวคิดเปลี่ยนยุทธศาสตร์ รื้อยุทธวิธีรับมือกับ “ป่าล้อมเมือง” ของ พคท.

ทหารยุคนั้นดูเหมือนจะฉลาด บางกลุ่มถึงขั้นเรียกตัวเองว่า “ทหารประชาธิปไตย”

ไม่เหมือนกับยุคนี้!!

 

แทบไม่น่าเชื่อว่าเกือบ 20 ปีมานี้ทหารมีแนวคิดที่ล้าหลัง

รัฐบาลกับกองทัพไม่มีคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามอย่างพรรคคอมมิวนิสต์ไทยอีกต่อไป ชนชั้นนำกับทหารเกื้อกูลและแบ่งปันผลประโยชน์กันลงตัว แทรกแซงและควบคุมระบบการตรวจสอบถ่วงดุลจำนนจนอยู่หมัด

กลไกการตรวจสอบและกลไกยุติธรรมเต็มไปด้วยรอยด่าง เคลือบแคลงเกินกว่าที่จะสงสัย

เลือกข้างชัดแจ้งจนไม่มีคำว่าเขินอายกันอีกต่อไป

คู่ต่อสู้ทางการเมืองในวันนี้ก็ไม่มีศักยภาพที่จะโค่นล้มหรือทำลาย “อำนาจรัฐ” ที่มีพื้นฐานมาจากกระบอกปืนของการรัฐประหาร

ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ล่วงมาถึง 22 พฤษภาคม 2557 ถึงปี 2565 เกือบ 2 ทศวรรษที่ “หน้าฉาก” ของการเมืองไทยคล้ายระบอบ “ประชาธิปไตย” หากแท้จริงแล้วเป็นการเมืองที่อยู่ภายใต้ “อำนาจ” ของอดีตนายทหารผู้ทะเยอทะยานทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่วางแผนสืบทอดอำนาจการคุมกำลังรบตั้งแต่ในกองทัพ

นั่นมิใช่ “คุมกำลังรบ” เพื่อเตรียมพร้อมสู้รบกับอริราชศัตรู หากแต่เป็นการจัดวางตัว “บริวาร” ที่ไว้ใจเอาไว้ค้ำบัลลังก์ “นาย”!

ในวันที่กองทัพไม่มีคู่ต่อสู้อย่างพรรคคอมมิวนิสต์ไทยหรืออริราชศัตรูนี้ “นักการเมืองกับพรรคการเมือง” ที่ไม่ยอมจำนนกับประชาธิปไตยที่ฉ้อฉลกลับถูก “เล่นงาน” ด้วยมาตรการจากองค์กรอิสระและการบังคับใช้กฎหมายที่บิดเบี้ยว

แทนการใช้ “อาวุธปืน” จี้บังคับ ก็ใช้ “กติกาที่ฉ้อฉล” และ “การบังคับใช้กฎหมาย” ที่อยุติธรรมเข้าจัดการ

“กติกา” ที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เหมือนเล่นแร่แปรธาตุ ปั้นขึ้นเพื่อการสืบทอดอำนาจ

ไม่ใช่ “กติกา” ในความหมายประชาธิปไตยสากล ที่เกิดจากคนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมจนเกิดเป็น “มติเสียงข้างมาก”

ในระบอบประชาธิปไตย “เสียงข้างน้อย” จะยอมรับจนเป็นที่ยุติใน “เสียงข้างมาก”

ไม่มีเสียงข้างน้อยที่เกเรคิดขี้ฉ้อป่าเถื่อนไปรวบรวมสมัครพรรคพวกซ่องสุมอาวุธเข้าปล้นชิงอำนาจ แล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง

การเคารพเสียงข้างมาก รับฟังและให้โอกาสเสียงข้างน้อยเป็นอารยธรรม!

ในทางตรงกันข้าม การหาเรื่อง ตั้งข้อหาแล้วตามจับ “เสียงข้างน้อย” มาดำเนินคดีหรือขังคุกนั้นเป็นความป่าเถื่อน!

จะป่าเถื่อนมากยิ่งขึ้นถ้าไม่มีบรรทัดฐาน ฝ่ายหนึ่งหรือคนเลือกข้างถูกทำอะไรก็ไม่ผิด

ความอยุติธรรม จะทำให้สังคมเผชิญกับวิกฤต

ระบบยุติธรรมและการเมืองในวันนี้ถอยหลังไปมาก คล้ายตกอยู่ในห้วงก่อน 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

สมัยนั้นการเมืองไทยเคยมีแม้กระทั่ง “รัฐประหารตัวเอง”!

จอมพลถนอม กิตติขจร รัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2514 นายอุทัย พิมพ์ใจชน ส.ส.ชลบุรี ฟ้องศาล-ศาลไม่รับฟ้อง

ต่อมา “คณะรัฐประหาร” เอาคืน ออกคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิวัติ ลงโทษจำคุก “อุทัย” 10 ปี

ในสังคมของเราเชื่อกันว่า “ปืน” สำคัญกว่า “ปาก”

“รัฐธรรมนูญ” ฉีกทิ้งได้และฉีกกันบ่อยครั้ง

เช่นนี้เอง เมื่อได้ยินเสียงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ออกมาขู่ผู้ที่นัดชุมนุมกันในวันที่ 30 กันยายน ว่า…ระวังจะไม่มีการเลือกตั้ง-จึงเกิดความตระหนก

คนเป็นรัฐมนตรีพูดแบบนี้ คงไม่ใช่ “ปากเสีย” แต่น่าจะมี “กลิ่น”!

เพียงแต่ “กลิ่น” ที่ว่านั้น “ผิดกฎหมาย” ฐานกบฏ ล้มล้างรัฐบาล ฉีกรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีก่อนที่นายอุทัยฟ้องจอมพลถนอม

ถ้าสมมุติว่า มีการรัฐประหารตัวเองจริงๆ ใน พ.ศ.นี้ หรือมีใครสมคบคิดให้บริวารทำรัฐประหารล้างไพ่ แล้วสถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้ง ใครจะดำเนินคดี ระบบยุติธรรมจะทำหน้าที่ และโทษอาญาหนักถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตจะมีไปถึงผู้กระทำความผิดหรือไม่

คนที่กล้าพูดคำว่า “ระวังจะไม่มีการเลือกตั้ง” น่าจะต้องมีความมั่นใจอะไรอยู่บ้าง การพูดประโยคนี้ในประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายหรือเรียกว่าเป็นนิติรัฐ และ “อำนาจอธิปไตย” เป็นของปวงชนนั้นไม่ใช่ความปกติ

การล้มกระดานเกิดขึ้นได้เสมอในประเทศประชาธิปไตยจอมปลอมที่ระบบและกลไกต่างๆ ของสังคมจำนนต่อกองทัพที่ก่อกบฏหรือทำรัฐประหาร

 (Photo by LILLIAN SUWANRUMPHA / AFP)

เกือบ 2 ทศวรรษแล้วที่ “วงจรอุบาทว์” กลับมายึดพื้นที่การเมืองไทยเบ็ดเสร็จอีกครั้ง-โหมประโคมใส่ร้ายป้ายสี สร้างเงื่อนไข สุมไฟ จุดชนวน ทำรัฐประหาร ล้มรัฐบาลที่มาจาก “เสียงข้างมาก” สถาปนาอำนาจเถื่อน แล้วแต่งตั้งพรรคพวกให้เขียน “กติกา” สืบทอดอำนาจต่อ กวาดล้างคนเห็นต่าง สร้างประชามติปลอม รวบรวมสมัครพรรคพวกเสร็จ จัดให้เลือกตั้ง ฉกฉวยช่วงชิงอำนาจภายใต้กลไกและกติกาที่ขี้ฉ้อ

ทั่วทั้งแผ่นดินทรุดโทรม องค์กรอิสระและการยุติธรรมตกต่ำ รัฐประหารเป็น “ต้นธาร” ของความหายนะทั้งปวง แต่เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อ “โพลนิด้า” ออกมาว่า “คะแนนนิยม” ของพรรคการเมืองฝ่ายเสรีประชาธิปไตยนำห่าง “พรรคไม้ประดับ” นักรัฐประหารชนิดไม่ติดฝุ่น วงในศูนย์กลางอำนาจถึงกับกระอักกระอ่วน

อย่าได้เชื่อว่า “ไทย” ไม่ฆ่า “ไทย”

ประวัติศาสตร์การเมืองเต็มไปด้วยไทยที่ฆ่ากัน!?!!