เช็กสต๊อกหนังสือ : ภาษาเจ้าภาษานาย การเมืองเบื้องหลังการศึกษาภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ ๕

หนังสือน่าติดตามและควรค่าแก่การครองครองของสำนักพิมพ์มติชน

ภาษาเจ้าภาษานาย การเมืองเบื้องหลังการศึกษาภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ ๕ สำนักพิมพ์มติชน ดร.อาสวุธ ธีระเอก ผู้เขียน จำนวน 268 หน้า ราคา 240 บาท

หนังสือกล่าวถึงโครงสร้างตั้งแต่แรกจัดการศึกษาของไทยว่ามีผลกระทบต่อการสร้างลำดับขั้นให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงลดหลั่นกันเพียงใด โดยมุ่งประเด็นไปที่การศึกษา “ชั้นสูง” อย่างภาษาอังกฤษที่ผู้คนขวนขวายเล่าเรียนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อรัฐปล่อยให้การศึกษาอิงกับระบบทุนนิยม การศึกษาประเภทต่างๆ จึงสอดคล้องมากกว่าขัดแย้งกับชนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพราะพอมีปรากฏการณ์ตำรวจจราจรหรือคนเก็บขยะพูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วชัดเจน ก็กลายเป็นกระแสฮือฮาและ “เป็นข่าว” ขึ้นมา

เนื้อหาในเล่มเป็นการปรับปรุงจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของผู้เขียน เรื่อง “การจัดการศึกษาภาษาอังกฤษของรัฐสยาม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” โดยจะเท้าความไปก่อนหน้านั้นว่า สมัยก่อน ร.3 นั้นยังไม่เคยมีธรรมเนียมศึกษาภาษาต่างชาติ ทั้ง ร.3 เองก็ไม่ทรงยอมรับอำนาจตะวันตก มา ร.4 การศึกษาก็มิได้จัดแบบวงกว้าง แต่หลังจากนั้น ก็ชัดเจนว่าเป็นการจัดการศึกษาเพื่อมุ่ง “สร้างกำลังคน” ทั้ง “ในพระองค์” และ “ในราชการ” จึงนำมาสู่โรงเรียนภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวัง รวมทั้งการส่งคนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ จากสิงคโปร์ก็ไปไกลถึงยุโรป

ต่อมาการจัดการศึกษาก็มาขยายอย่างจริงจังเมื่อมีการปฏิรูประบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อป้อนคนสู่ระบบ แต่ก็เป็นไปอย่างมีข้อจำกัด เพราะไม่คลุมถึงราษฎรทั่วไป ดังนั้น ทางออกคือ การเปิดทางให้โรงเรียนราษฎร์โดยเฉพาะสายคริสต์เป็นผู้ดำเนินการแทนโดยที่ผู้เรียนต้องจ่ายเงิน เป็นที่มาของการก่อกำเนิดโรงเรียนอย่าง กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง โรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นต้น

คำถามที่ทิ้งท้ายไว้ให้ไปค้นหาคำตอบในเล่มคือ สุดท้ายแล้วการศึกษาภาษาอังกฤษถูกสร้างขึ้นเพื่อใครกันแน่?

เพื่อนร่วมงานของคุณเป็นลิงแบบไหน สำนักพิมพ์ NANMEEBOOKS ผู้เขียน Team GATHER Project ผู้แปล ดร.จิดาภา กัมพลกัญจนา จำนวน 200 หน้า ราคา 195 บาท

เข้าใจไม่ผิดสำหรับชื่อหนังสือ เพราะทีมเขียนตั้งใจเปรียบเทียบคนกับ “เอป” 4 สายพันธุ์ เพื่อทำให้เข้าใจกันง่ายๆ เห็นภาพ และช่วยให้อ่านแล้วไม่เครียดเกินไป

ว่าไปแล้ว นี่เป็นหนังสือเล่มแรกของไทยที่นำพฤติกรรมของเอปมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมมนุษย์ และมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ระบุว่ามีบริษัทญี่ปุ่นนำหลักการในนี้ไปใช้แล้วได้ผลจริงสำหรับคนทำงานทุกระดับ คือ ตั้งแต่พนักงานใหม่จนถึงผู้บริหาร

ขอบคุณภาพจาก SE-ED

เนื้อหาในเล่มเป็นแนว “ฮาวทู” อย่างง่ายๆ แนะนำวิธีวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์เพื่อดึงศักยภาพของคนคนนั้นออกมาให้มากที่สุด โดยแบ่งคนออกเป็น 4 ประเภท เปรียบเทียบกับพฤติกรรมของเอป 4 สายพันธุ์ ได้แก่ อุรังอุตัง กอริลลา ชิมแปนซี และ โบโนโบ ว่าคนแต่ละประเภทเหมาะกับงานประเภทไหน ควรปฏิบัติหรือเอ่ยชมกับพวกเขาอย่างไร เพื่อให้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีคำจำกัดความสั้นๆ ว่า อุรังอุตัง จะหมายถึง การยอมรับ กอริลลา หมายถึง ความมีระเบียบ ชิมแปนซี หมายถึง ชัยชนะ และโบโนโบ หมายถึง ความเห็นอกเห็นใจ

ทั้งนี้ ผู้เขียนจะมีแบบทดสอบและสถานการณ์สมมติต่างๆ ให้เราวิเคราะห์บุคลิกที่แท้จริงของตัวเอง รวมถึงเพื่อนร่วมงานว่าเป็นเอปสายพันธุ์ไหน อยากรู้ ต้องลองหาคำตอบจากในเล่มดู

เทสส์ แห่งเดอร์เบอร์วิลส์ (Tess of the D”Urbervilles) ยิปซีสำนักพิมพ์ โทมัส ฮาร์ดี้ ผู้เขียน สดใส ผู้แปล จำนวน 558 หน้า ราคา 430 บาท

วรรณกรรมเอกของโลกจากบทประพันธ์ของนักเขียนและกวีเลื่องชื่อช่วงศตวรรษที่สิบเก้า ที่ถูกนำมาตีพิมพ์ใหม่ในรูปเล่มและปกที่สวยงามสะดุดตา หลังจากเป็นที่นิยมของนักอ่านมามากกว่าศตวรรษ

ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1891 ไว้ว่า “นวนิยายเรื่องนี้เขียนด้วยเจตนาบริสุทธิ์และจริงใจ เป็นความพยายามที่จะใช้ศิลปะนำเสนอเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นตามลำดับขั้นตอนของมัน ส่วนความเห็นและความรู้สึกของผู้อ่านที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ “ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องนักอ่านผู้ดีทั้งหลายที่ทนไม่ได้กับสิ่งที่คนทุกวันนี้คิดและรู้สึก ขอท่านได้โปรดนึกถึงคำสอนก่อนเก่าของนักบุญเจอโรมที่กล่าวว่า ถ้าความจริงทำให้ท่านขัดเคืองใจ ก็ขอให้ความขัดเคืองใจนั้นปรากฏ ดีกว่าปิดบังความจริงไว้” นั่นย่อมสะท้อนได้ดีถึงความกล้าที่จะแหวกกรอบอันเคร่งครัดคับแคบของสังคมอังกฤษในยุควิกตอเรียน ที่นำความเศร้ามาสู่ชะตากรรมของนางเอกทั้งที่เธอเป็น “ผู้บริสุทธิ์”

เทสส์ เดอร์เบอร์วิลส์ เป็นผู้หญิงชนบทที่สภาพแวดล้อม ความสงบ ความงดงามของป่าเขาราวทุ่งของอังกฤษ หล่อหลอมให้ชีวิตเธอมีแต่ความสงบ สบายใจ แต่เมื่อเธอต้องเผชิญชะตากรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง สดใส-ในฐานะผู้แปลถึงกับร้องไห้ไปกับเธอ ด้วยความรักและเข้าใจเธออย่างสุดหัวใจ

ช่วงสาวรุ่น พระนักเทศน์พบว่าบิดาของเทสส์คือผู้สืบเชื้อสายแท้จริงของตระกูลขุนนางเก่าแก่ พ่อแม่จึงอยากให้เธอช่วยยกฐานะให้พ้นความยากจน โดยผลักดันให้เธอต้องไปสัมพันธ์กับผู้ชายที่สุดโต่งทั้งฝ่ายชั่วและฝ่ายดี เธอจึงกลายเป็น “เหยื่อ” ของสังคมที่แบ่งแยกชนชั้น แบ่งแยกความคิดและความเชื่อ แม้ในสายตาของสังคมเธอคือผู้มีมลทิน แต่ตัวตนที่แท้จริงของเธอคือศักดิ์ศรีชีวิตที่ไม่อาจมีใครทำลายได้

คำพูดสุดท้ายในตอนจบที่เธอมอบตัวต่อตำรวจอย่างสงบ เด็ดเดี่ยว ก่อนถูกลงทัณฑ์ด้วยการแขวนคอ “ดิฉันพร้อมแล้วค่ะ” จึงดังก้องอยู่ในใจผู้อ่านเสมอมา

WA-Japan vol.1-2 FREE MAGAZINE

คู่มือสำหรับท่องเที่ยวญี่ปุ่นแจกฟรีสีสันสดใส ออกมาแล้ว 2 เล่ม คือ สำหรับเที่ยวในฤดูร้อนและฤดูใบไม่ร่วง เล่มแรกเริ่มด้วยการปูพื้นก่อนเลยว่าไปญี่ปุ่นหน้าร้อนซึ่งร้อนอย่าบอกใครเพราะบางเมืองอุณหภูมิทะลุ 40 องศา ควรทำอะไรดี เริ่มด้วยการพาตะลุยงานคอนเสิร์ตที่จะจัดกันทั่วถึงในช่วงเวลานี้ พาไปชมดอกไม้ไฟที่เป็นไฮไลต์ในเมืองต่างๆ เทศกาลหามเกี้ยวมิโคชิ ลุยแผงลอยยะไตที่เต็มไปด้วยสารพัดของกิน เทศกาลโอบงที่โยงจากคติพุทธในการทำบุญให้บรรพบุรุษ แนะนำอาหารประจำฤดูร้อน โดยเฉพาะข้าวหน้าปลาไหล ปิดท้ายด้วยการปีนฟูจิ ชมทุ่งดอกไม้

ส่วนฤดูใบไม้ร่วง แน่นอนว่าจุดเด่นคือเที่ยวชมใบไม้ที่เปลี่ยนสีในหลายๆ เมือง ที่แข่งกันเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง เหลืองเป็นส้ม จากส้มเป็นแดง แดงเป็นสีน้ำตาลก่อนที่จะร่วงหล่นวนวัฏจักรใหม่ แนะนำของเมนูประจำฤดูกาล ทั้งแปะก๊วย ปลาซาบะ เกาลัด มันม่วง และข้าวใหม่ที่มีกลิ่นหอมสุดๆ ในรอบปี และพาเที่ยวงานเทศกาลในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นที่วาเซดะ โตเกียว เคโอะ ที่มักจะมีการแสดงเชิงวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบให้ชม ปิดท้ายแนะให้ด้วยว่าเวลาเที่ยวจนเงินชักร่อยหรอควรกินอะไรให้อยู่รอด

สามารถหยิบหนังสือนี้ได้ที่ไหนบ้าง เช็กได้ที่ www.facebook.com/wajapan.th

คํา คม คิด

“ดูก่อน เมื่อโฉมหน้าของเจ้าถูกเปิดเผย คนที่รักเจ้าก็จะเกลียด ยามชะตาตก ใบหน้าเจ้าก็หมดความงาม ชีวิตเจ้าจะร่วงหล่นเหมือนใบไม้ ตกลงไปเหมือนสายฝน ผ้าคลุมหน้าของเจ้าจะโศกเศร้า มงกุฎจะรวดร้าวเจ็บปวด”

บทกวีของ โทมัส ฮาร์ดี้ ผู้ประพันธ์วรรณกรรมเอกของโลก เทสส์ แห่งเดอร์เบอร์วิลส์ (Tess of the D”Urbervilles)