ขอเวลาอีกไม่นาน-สัก 11 ปี/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

 

ขอเวลาอีกไม่นาน-สัก 11 ปี

 

ดูท่วงท่าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังโดนสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี โดยไม่มีทีท่าจะสงบนิ่ง ไม่มีการเก็บเนื้อเก็บตัวเพื่อให้บรรยากาศโดยรวมเย็นลง แต่กลับยังอาศัยฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ยังเหลืออยู่ เคลื่อนไหวแสดงบทบาทต่อไป

เช่นนี้แล้วก็แปลว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมถอย ยังต่อสู้เพื่อจะกลับมาเป็นนายกฯ ต่อไปให้ได้

ไม่เพียงระดมทีมงานที่ปรึกษากฎหมาย ยื่นเอกสารหนา 20 หน้า ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อต่อสู้ว่า ยังนั่งเก้าอี้นายกฯ ไม่ครบ 8 ปี โต้แย้งว่าจะนับตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ หนแรกไม่ได้

ก็คือยังอาศัยช่องทางกฎหมาย ตีความให้ได้เป็นนายกฯ อยู่ต่อไป

รวมไปถึง ยังเกาะเกี่ยวอำนาจหน้าที่ในรัฐบาล ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม ร่วมประชุมสภากลาโหม ไปนั่งห้องทำงานรัฐมนตรีกลาโหม ไปตรวจงานให้กำลังใจทหารในภารกิจป้องกันน้ำท่วม

การประชุม ครม. แม้ว่าจะทำหน้าที่นายกฯ ไม่ได้ ก็ยังใช้ความเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ร่วมการประชุมผ่านคอนเฟอเรนซ์

เป็นพฤติกรรมที่กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะในแง่ความเหมาะสมทางการเมือง มารยาททางการเมือง และการไม่เก็บอารมณ์ความรู้สึกที่มุ่งมั่นดิ้นรนเพื่อกลับมาอยู่ในอำนาจต่อไป

ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีในบ้านนี้เมืองนี้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 อย่างแน่นอน และครบ 8 ปีแล้วแน่ๆ ในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา

แถมกรณีหลายวันก่อน ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรีเอง ได้จัดทำคลิปพิเศษ ออกเผยแพร่ในวันที่ 24 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันประชุมศาลรัฐธรรมนูญนัดแรก เพื่ออวดอ้างผลงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยใช้ชื่อคลิปว่า “8 ปีที่เปลี่ยนไป รัฐบาลของคนไทย แตกต่าง ไม่แตกแยก”

เจตนาจะสวนกระแสที่กดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ยอมจบเพราะครบ 8 ปี

แต่กลายเป็นว่า คลิปที่ทำกันเองด้วยทีมงานของประยุทธ์เอง ก็ยอมรับในตัวเองแล้วว่า ก็เป็นนายกฯ มา 8 ปีแล้วจริงๆ จึงได้อ้างผลงานว่าทำอะไรไปมากมายใน 8 ปีที่ผ่านมา

แค่ชื่อคลิปก็ยอมรับเองว่า 8 ปีแล้ว

ความจริงก็คือนั่งนายกฯ มา 8 ปีแล้ว เพียงแต่มีช่องทางการตีความข้อกฎหมาย ก็จะใช้ช่องนี้แหละ ต่อสู้เพื่อให้เป็นนายกฯ ต่อไปให้ได้

โดยไม่คำนึงว่า จะเกิดข้อครหาตามมามากมาย โดยเฉพาะการไม่ยอมถอยจากอำนาจง่ายๆ!!

 

อันที่จริงบรรยากาศในบ้านเมือง ผ่อนคลายไปมาก นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญประชุม มีมติรับคำร้องของ ส.ส.ฝ่ายค้านกรณี 8 ปีนายกฯ และมีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์พักการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ทำให้อุณหภูมิทางการเมืองลดระดับลง ม็อบที่ทำท่าจะดุเดือดก็หมดประเด็นไปในระดับหนึ่ง

อีกทั้งผลการสั่งพักงาน พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาทำหน้าที่รักษาการนายกฯ แทน ปรากฏว่าทำได้อย่างเป็นมวย ขยันขันแข็ง ไม่ต้องหยุดงานทุกวันหยุดเหมือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ การพูดการจาของรักษาการนายกฯ ไม่มีแข็งกร้าว ไม่วางอำนาจ

การประสานงานเพื่อแก้ปัญหาร่วมกับฝ่ายอื่นๆ ก็ทำอย่างรวดเร็ว ไม่วางท่า สามารถโทรศัพท์ถึงผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เพื่อร่วมแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นกันเอง

ได้ พล.อ.ประวิตรมารักษาการนายกฯ ทำเอาชาวบ้านเริ่มชอบ และเริ่มลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะมีโอกาสกลับมาอีก

ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์จะยุติหน้าที่ไปเลยก็ได้ มี พล.อ.ประวิตรมาแทนแล้ว ดูไหลลื่นดีกว่ามาก อะไรทำนองนั้น

นักวิเคราะห์การเมืองพากันมองว่า ถ้าหากกลุ่มอำนาจ 3 ป.มีความชาญฉลาดและเหนือชั้น น่าจะประเมินออกว่า กระแสของคนในสังคมต่อกรณี 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น โดยส่วนใหญ่มีทิศทางต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็เห็นได้ชัดว่า กระแสสังคมออกมาในแนวรู้สึกดีและผ่อนคลาย

ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์เคลื่อนไหวเพื่อจะกลับมาเป็นนายกฯ อีก ก็อาจจะทำให้อุณหภูมิในสังคมกลับมาร้อนระอุได้อีก ฝ่ายต่อต้านก็จะมีเงื่อนไขปลุกประชาชนให้ออกมาเคลื่อนไหวได้

โดยรวมแล้ว ถ้าประเมินให้ดี เป็นช่วงขาลงของ พล.อ.ประยุทธ์แล้วแน่นอน เพราะเศรษฐกิจทรุดหนัก ปากท้องประชาชนหิวโหย

ถ้าหากเครือข่าย 3 ป.ชาญฉลาด คิดหาทางออกในการประคับประคองอำนาจในคณะตัวเองให้อยู่ต่อไป

ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรถอย แล้วเปิดให้ พล.อ.ประวิตรทำหน้าที่นายกฯ เต็มตัว เพื่อรักษาเครือข่าย 3 ป.ให้อยู่ต่อไป แล้วปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ในการเลือกตั้งใหญ่

ขณะที่กระแสสังคม กระแสต่อต้านที่มาเป็นคลื่นใหญ่ก่อนวันที่ พล.อ.ประยุทธ์โดนพักหน้าที่ ซึ่งเครือข่าย 3 ป.ควรประเมินได้

แต่ถ้าวนสถานการณ์ให้กลับไปก่อนหน้านั้น

ถ้าถึงที่สุด พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ ใหม่อีกหน ทุกอย่างก็จะย้อนกลับไปยังช่วงสถานการณ์ร้อนรุ่มดังเดิมอีก!!

 

มองการต่อสู้ไม่ยอมถอยของ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมกับการยังทำงานเป็นรัฐมนตรีต่อไป จนทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกฯ เริ่มต้องระมัดระวัง เช่น เมื่อรัฐมนตรีเริ่มว่างหลายเก้าอี้ ก็ต้องบอกว่า รอ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ ก่อน

เพราะท่วงทำนองของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่อยู่ในช่วงหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ยังทำหน้าที่รัฐมนตรีกลาโหมต่อ

ทำให้กลไกรัฐบาลเองต้องละล้าละลัง

นี่คือปัญหาที่เกิดจากท่าทีไม่ยอมถอยของ พล.อ.ประยุทธ์

ไม่ยอมถอยด้วยความคิดตัวเอง แต่ส่งผลสะเทือนต่อสังคมประเทศชาติอย่างมาก!!

ขณะเดียวกัน ท่าทีไม่ยอมถอยของ พล.อ.ประยุทธ์ดังกล่าว ได้ก่อเกิดประโยชน์ทางคดี 8 ปีมากมาย

เช่น นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เคยกล่าวในที่ประชุมกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญว่า ต้องนับการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตั้งแต่การเป็นนายกฯ ครั้งแรก

แต่เมื่อส่งคำชี้แจงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลับปรากฏว่า นายมีชัยให้ความเห็นว่าต้องนับการดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เริ่มบังคับใช้ คือเริ่มตั้งแต่ 6 เมษายน 2560

ถ้าหากลงเอยเป็นไปตามนี้จริง คือ นับการเริ่มต้นเป็นนายกฯ ในปี 2560 เท่ากับการนับเวลา 8 ปี จะยืนยาวไปถึงปี 2568

โดยมองข้ามประเด็นที่รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ว่า คณะรัฐมนตรีที่อยู่มาก่อนรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ให้เป็นคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ ทำให้รัฐบาลประยุทธ์ไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อรัฐธรรมนูญเริ่มใช้ในปี 2560

ไม่ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาใหม่ ไม่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่ เพราะเป็นคณะรัฐมนตรีต่อเนื่องได้เลย

แถมเมื่อเลือกตั้งปี 2562 แล้วตั้งรัฐบาลใหม่ โดย พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ก็ไม่ต้องเปิดบัญชีทรัพย์สิน ด้วยข้อกฎหมายเขียนว่า ถ้าดำรงตำแหน่งเดิมภายใน 1 เดือน ไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน

เหล่านี้เป็นข้อมูลที่มัดว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ครบ 8 ปีแล้ว

แต่เมื่อพยานเอกให้การใหม่ว่า ต้องเริ่มนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 เริ่มบังคับใช้ ก็แปลว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะยังสามารถเป็นนายกฯ ได้ถึงปี 2568

ถ้านับแบบประชาชน แปลว่า พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นนายกฯ ได้ถึง 11 ปี

เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน

เอาเข้าจริงๆ พล.อ.ประยุทธ์ขอเวลาอีกไม่นาน ก็น่าจะประมาณ 11 ปีนั่นเอง!