ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 กันยายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
คำบอกเล่าเริ่มแรก
ในดินแดนไทย
ภาษาและวรรณกรรมเริ่มแรกในดินแดนไทยราว 2,500 ปีมาแล้ว หรือราว พ.ศ.1 คือคําบอกเล่าหรือเรื่องเล่าด้วยภาษาพูดของชาติพันธุ์นั้นๆ ขณะนั้นยังไม่พบหลักฐานว่ามีกลุ่มที่พูดภาษาไท-ไต และไม่พบหลักฐานว่าคนเรียกตนเองว่าไทย
หลังจากนั้นอีกนานนับพันปีจึงพบภาษาไท-ไต ในดินแดนประเทศไทย ทําให้กลุ่มที่พูดภาษาไท-ไต แลกเปลี่ยนการรับรู้คําบอกเล่าหรือเรื่องเล่าจากกลุ่มที่พูดภาษาดั้งเดิม ซึ่งมีหลักแหล่งอยู่บริเวณนี้มาก่อน นานเข้าก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องเล่าของตน
คําบอกเล่าหรือเรื่องเล่าสมัยเริ่มแรก เป็นของคนในวิถีกสิกรรมทํานาทําไร่แบบพึ่งพาธรรมชาติซึ่งล้าหลังทางเทคโนโลยี ต้องมีพิธีกรรมเป็นคําบอกเล่าหรือเรื่องบอกเล่า
เพื่อวิงวอนร้องขอต่อผีฟ้า (คือ อํานาจเหนือธรรมชาติ) เพื่อความอยู่รอดสําคัญอย่างยิ่ง 2 เรื่อง ได้แก่ (1.) ขอความคุ้มครองป้องกันจากผีร้ายในชีวิตประจําวัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บและตาย กับ (2.) ขอความอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหาร ซึ่งเกี่ยวข้องการทํามาหากินทํานาทําไร่
เนื้อหาคําบอกเล่าสมัยเริ่มแรกไม่ยาว และถูกทําให้ได้รับความเชื่อถือร่วมกันอย่างแข็งแรงทั้งชุมชนเริ่มแรกว่าเฮี้ยนขลังและเป็นจริงทั้งหมดซึ่งใครจะละเมิดมิได้ (แต่ปัจจุบันจะเชื่อถือมิได้ว่าคําบอกเล่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ดังนั้น จึงจําเป็นต้องศึกษาทําความเข้าใจอีกมาก เพื่อถอดรหัสที่แฝงอยู่ในคําบอกเล่าเหล่านั้นว่าแท้จริงต้องการจะบอกอะไร?)
ความเชื่อกระตุ้นภาษาและวรรณกรรม
ภาษาและวรรณกรรมไทยถูกกระตุ้นการเติบโตด้วยพลังอํานาจของระบบความเชื่อเรื่องขวัญทางศาสนาผีหลายพันปีมาแล้ว
ศาสนาผี หมายถึงศาสนาที่นับถือผีว่ามีอํานาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ปรากฏการณ์ทั้งหลายไม่ว่าดีหรือร้ายเกิดจากการกระทําของผี โดยคนกับผีติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยการเข้าทรงผ่านร่างทรงซึ่งเป็นหญิง (ไม่มีร่างทรงเป็นชาย) ทําให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ในพิธีกรรมทางศาสนาผี นับเป็นศาสนาเก่าแก่ที่สุดในโลกเพราะมีก่อนศาสนาอื่นๆ และมีคนนับถือมากที่สุดในโลก (แม้คนทั่วไปไม่ยอมรับเป็นศาสนา แต่ทางวิชาการสากลนับเป็นศาสนา)
[ศาสนาผีที่กล่าวถึงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ เพราะสมัยนั้นคนในโซเมียยังไม่รู้จักและไม่ติดต่อรับวัฒนธรรมอินเดีย ดังนั้น ศาสนาผีไม่มีเวียนว่ายตายเกิด, ไม่มีโลกหน้า, ไม่มีเทวดานางฟ้า, ไม่มีสวรรค์นรก, ไม่มีวิญญาณ, ไม่มีเผาศพ ฯลฯ]
ผีฟ้า มีอํานาจเหนือธรรมชาติสูงสุดอยู่บนฟ้า หมายถึง ผู้เป็นใหญ่บนฟ้า บางทีเรียกเจ้าแห่งฟ้า หรือเจ้าฟ้า เป็นแหล่งรวมพลังขวัญของคนชั้นนําที่ตายแล้วของเผ่าพันธุ์ ถูกส่งขึ้นฟ้ารวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกับผีฟ้าเพื่อปกป้องคุ้มครองคนที่ยังไม่ตายอยู่ในชุมชนให้มีความอุดมสมบูรณ์
“ผีกับคนไปมาหากันบ่ขาด” มีการติดต่อสื่อสารกันโดยผ่านร่างทรงหรือคนทรง ดังนั้น คนในชุมชนถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดจากผี (ผีบรรพชน, ผีฟ้า) ผ่านจารีตประเพณีพิธีกรรม และหมอมด, หมอขวัญ ฯลฯ รวมทั้ง “ตัวกลาง” คือ ร่างทรง หรือคนทรง
ต่อมาผีฟ้าถูกเรียกอีกชื่อว่าแถน ซึ่งได้จากภาษาฮั่นว่าเทียน แปลว่าฟ้า หมายถึง ผู้เป็นใหญ่บนฟ้า [บอกไว้ในหนังสือ พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) เรียบเรียงเมื่อปลายแผ่นดิน ร.5 พ.ศ.2451]
ขวัญ หมายถึงพลังของชีวิตซึ่งเป็นระบบความเชื่อทางศาสนาผีที่มีอิทธิพลกว้างขวาง และเกี่ยวข้องความคิดสร้างสรรค์ภาษาและวรรณกรรมรวมถึงสิ่งอื่นๆ
ขวัญเป็นคําออกเสียงตามรับรู้ในภาษาไทยปัจจุบัน ซึ่งใกล้ชิดเป็นคําเดียวและความหมายเดียวกับภาษาฮั่นว่า หวั๋น (กวางตุ้ง) ฮุ้น (แต้จิ๋ว) น่าเชื่อว่าเป็นระบบความเชื่อร่วมกันมาแต่เดิม [มีคําอธิบายอยู่ในหนังสือหลายเล่ม ได้แก่ (1.) ไทย-จีน ของพระยาอนุมานราชธน (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2479) พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.2505 หน้า 93, (2.) บทความเรื่อง “พิธีกรรมหลังความตาย มีส่งขวัญคล้ายกันทั้งไทยและจีน” ในหนังสือ “คนไท” ไม่ใช่ “คนไทย” แต่เป็นเครือญาติชาติภาษา โดย เจีย แยนจอง สํานักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2548 หน้า 86]
ขวัญคือส่วนที่ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่เคลื่อนไหวได้ ลักษณะเป็นหน่วย มีหลายหน่วย แต่ละหน่วยสิงสู่อยู่กระจายตามส่วนต่างๆ ของคน, สัตว์, พืช, สิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้, อาคารสถานที่ เป็นต้น ต่อมาคนตาย เพราะขวัญหายไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือไม่อยู่กับมิ่งคือร่างกายอวัยวะของคน หรือกล่าวอีกอย่างว่าคนตาย ส่วนขวัญไม่ตาย แต่หายไปไหนไม่รู้? ถ้าเรียกขวัญคืนร่างได้คนก็ฟื้นคืนปกติ
[มีรายละเอียดอีกมากในหนังสือ ขวัญเอ๋ย ขวัญมาจากไหน? ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ สํานักพิมพ์นาตาแฮก (พิมพ์ครั้งแรก 2560) พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.2562]
ขวัญเคลื่อนไหวทั่วไปในทุกมิติ และเข้าสิงได้ในทุกสิ่ง เช่น หิน, ไม้ ฯลฯ วัตถุเหล่านั้นเป็น “ร่างเสมือน” ที่คนมีชีวิตต้องการให้เป็น เช่น ขวัญฆ้องสิงในหินเป็นแผ่นหรือเป็นก้อน ทําให้แผ่นหินหรือก้อนหินนั้นคือ “ร่างเสมือน” ของฆ้อง เป็นต้น
ผู้หญิงมีสถานะสูงกว่าผู้ชาย
ในศาสนาผีผู้หญิงมีสถานะสูงกว่าผู้ชาย เพราะ (1.) ผู้หญิงเป็นหัวหน้าพิธีกรรมทางศาสนาผี ส่วนผู้ชายอยู่นอกพิธีกรรม (2.) ผู้หญิงเป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน ส่วนผู้ชายเป็นผู้อาศัย (3.) พิธีแต่งงาน ผู้หญิงเป็นเจ้าสาว แปลว่า ผู้เป็นนาย ส่วนผู้ชายเป็นเจ้าบ่าว แปลว่า ผู้รับใช้ (4.) สายโคตรตระกูลสืบทางฝ่ายผู้หญิง (ดังนั้น สมัยโบราณการสืบราชสันตติวงศ์เป็นไปตามสายแม่ จึงมีระบบวังหลวงกับวังหน้ามักเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน)
หญิงผู้บอกเล่า คําบอกเล่าสมัยเริ่มแรกถูกบอกเล่าโดยผู้หญิง ซึ่งมีสถานะทางสังคมสูงกว่าผู้ชาย และโดยทั่วไปผู้หญิงที่บอกเล่าได้รับยกย่องเป็นร่างทรงเมื่อผีฟ้าลงทรงแล้วเล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ ขณะเดียวกันได้รับยกย่องเป็นมด หรือหมอมด
คําว่า “มด” หมายถึงผู้มีพลังอํานาจสูงส่ง (เหนือผู้ชาย) เหตุที่ผู้หญิงได้รับยกย่องเป็นมด เพราะผู้หญิงมีมดลูกที่บันดาลความมีชีวิตของมนุษย์ออกจากมดลูกได้ (ซึ่งผู้ชายทําไม่ได้) ส่วนหมอ หมายถึง ผู้ชํานาญในการใดการหนึ่ง เช่น ชํานาญการรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยพิธีกรรมทางศาสนาผี บางทีถูกเรียกว่าหมอผี เป็นต้น ดังนั้น หญิงผู้บอกเล่า บางทีถูกเรียกควบรวมว่ามดหมอ หรือหมอมด ซึ่งยังไม่พบนิยามหรือคําอธิบายตรงไปตรงมามากกว่านี้
หมอมดซึ่งเป็นหญิงผู้มีพลังอํานาจทางศาสนาผี บางสถานการณ์ต้องทําหน้าที่หมอขวัญ เพื่อทําขวัญ (หมายถึง สู่ขวัญ, เรียกขวัญ, ส่งขวัญ) เพื่อสื่อสารกับผีฟ้าช่วยบันดาลสิ่งที่ต้องการให้ผู้รับทําขวัญ หรือให้เป็นที่รับรู้ทั่วกันของคนทั้งชุมชนที่ร่วมพิธีกรรมนั้น
คําทําขวัญเป็นภาษาพูดในชีวิตประจําวันที่เรียบเรียงเนื้อความเน้นเรียกขวัญที่หายไปให้คืนร่างตามเดิม ครั้นนานไปได้สร้างสรรค์สอดแทรกคําคล้องจองตรงที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ จนถึงที่สุดแต่งเป็นคําคล้องจองหมดแล้วสร้างทํานองขับลํากํากับไว้ด้วยให้เฮี้ยนขลัง (ส่วนคําคล้องจองจะเป็นต้นทางโคลงกลอนหรือร้อยกรองต่อไปข้างหน้า)
คําบอกเล่าเริ่มแรก
คําบอกเล่ามีพลังผนึกความเป็นปึกแผ่นของเผ่าพันธุ์ (หรือชาติพันธุ์) ดังนั้น ชุมชนสมัยเริ่มแรกมีพิธีกรรมตามคําบอกเล่าเหล่านั้น พบหลักฐานหลากหลายเหลือเป็นซากสิ่งต่างๆ ได้แก่ ไม้, โลหะ, หิน เป็นต้น แต่ที่สําคัญและพบกว้างขวาง คือ หินรูปร่างหลากหลายลักษณะและขนาดต่างๆ เช่น แผ่นผา, แท่ง, ก้อน, สะเก็ด ฯลฯ ทางวิชาการสากลเรียกวัฒนธรรมหิน (Megalith culture) เรียกง่ายๆ เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า “หินตั้ง” หินจึงมีคําบอกเล่าสมัยเริ่มแรกเป็นเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึก แต่อาจถอดรหัสคลาดเคลื่อนหรือแตกต่างกันได้จึงไม่ถือเป็นยุติ
ในหินมีคําบอกเล่าเป็นพิธีกรรมสืบเนื่องจากความเชื่อเรื่องขวัญว่า ขวัญเคลื่อนไหวออกจากร่างจริงแล้วไปสิงสู่อาศัยในวัสดุต่างๆ ก็ได้ ไม่ว่าท่อนไม้, กองดิน, ก้อนหิน ฯลฯ โดยสมมุติเรียกสิ่งนั้นว่าร่างเสมือน ดังนั้น บรรดาขวัญของคน, สัตว์, พืช, สิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้, อาคารสถานที่ ไปสิงสู่อาศัยร่างเสมือนได้ทั้งนั้น และร่างเสมือนที่สําคัญอย่างยิ่งคือหิน •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022