‘วงษ์สยามก่อสร้าง’ กับการถูกระงับสัญญาท่อส่งน้ำ 2 หมื่นล้าน อนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย ครวญ ‘ผมมันซื่อเอง…’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

วรลดา

 

‘วงษ์สยามก่อสร้าง’

กับการถูกระงับสัญญาท่อส่งน้ำ 2 หมื่นล้าน

อนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย

ครวญ ‘ผมมันซื่อเอง…’

ถึงบัดนี้โครงการบริหารท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออก ความยาว 135.9 กิโลเมตร ยังคาราคาซัง เจอโรคเลื่อน-เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ยังไม่มีการเซ็นสัญญาลงนามแต่อย่างใด แม้ว่าบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ของ “อนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย” จะเป็นผู้ชนะบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ eastw ยักษ์ใหญ่ธุรกิจน้ำ ได้เป็นผู้ดำเนินโครงการนี้แล้วก็ตาม

และถึงแม้จะเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐสูงสุด 25,693 ล้านบาท สัญญา 30 ปี ขณะที่ eastw เสนอราคาที่ 24,212.84 ล้านบาท แต่ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับเซ็นสัญญาระหว่างกรมธนารักษ์ และบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ตามคำร้องของ eastw เจ้าของสัมปทานเดิมไว้ก่อน

“อนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย” ผู้บริหารบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ถูกตั้งคำถามถึงความเป็นมาและคอนเน็กชั่นในวงการ ว่าเป็นใคร มาจากไหน จึงชนะการประมูลได้สิทธิ์มาบริหารโครงการมูลค่ากว่า 20,000 ล้านนี้ได้

ตามคำบอกเล่าของเจ้าตัว เขาเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์ จบการศึกษาปี 2522 จากนั้นไปต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิติศาสตร์ แล้วเรียนต่อโทด้านรัฐประศาสนศาสน์ หลังจากเป็นลูกมืองานก่อสร้างให้บริษัทพ่อตัวเองอยู่ระยะหนึ่ง ตั้งความหวังไปเรียนวิศวะที่ต่างประเทศ สุดท้ายกลับไม่ได้ไป

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า “อนุฤทธิ์” แท้ที่จริงแล้วเป็นหลานชายแท้ๆ ของ “บรรหาร ศิลปอาชา” นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของไทย และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งความหมายคือ บรรหารเป็นน้องชายของพ่อของอนุฤทธิ์ที่คลานตามกันออกมานั่นเอง

เมื่อคุณพ่อของอนุฤทธิ์อายุได้ 4 ขวบ ต้องไปอยู่กับพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงที่เมืองจีน กระทั่งอายุ 14 จึงได้กลับเมืองไทยพร้อมกับพรรคพวกคนจีนอีก 20 คน มาเริ่มทำงานเป็นช่างฝีมืองานไม้ และได้แต่งงานกับลูกสาวช่างไม้ในเวลาต่อมา จากนั้นสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถก่อตั้งบริษัทของตัวเองชื่อ บริษัทไทยอุดมก่อสร้าง ส่วนคุณแม่ก็มีบริษัทก่อสร้างเป็นของตัวเองอีกหนึ่งบริษัท แยกกันบริหารกับไทยอุดมก่อสร้าง คือบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด นั่นเอง

หากมองในแง่คอนเน็กชั่น อาจกล่าวได้ว่าอนุฤทธิ์มีเครือข่ายสะสมมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ซึ่งมาจากงานรับเหมาทั้งหลายของบริษัทไทยอุดมก่อสร้างที่ส่วนใหญ่แล้วผูกขาดอยู่ในค่ายทหาร “ภาณุรังษี” จังหวัดราชบุรี

จึงทำให้คุณพ่อของอนุฤทธิ์มีความผูกพันใกล้ชิดกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคน อาทิ พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 19 ของไทย

อนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย

ก่อนจะมีชื่อเสียงปรากฏในวงการธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ อนุฤทธิ์เล่าว่า ด้วยความที่เป็นลูกชายคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 9 คน เขาเป็นคนไม่เอาถ่านคือเกเรไม่ค่อยเรียนหนังสือ แต่อีกแง่หนึ่งก็เป็นวาสนาที่ได้ใกล้ชิดและได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากพ่อ โดยเป็นการสอนให้แบบไม่รู้ตัว

“…พ่อผมอ่านภาษาไทยไม่ได้ เวลาจะคิดแบบจึงให้ผมอ่านให้ฟัง ตอนนั้นผมอายุ 14-15 อ่านไปก็ได้เงินนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ทำให้ซึมซับวิธีการก่อสร้างว่าทำยังไง การก่ออิฐทำอะไรบ้าง ฯลฯ อยู่กับคุณพ่อมา 10 ปีได้ความรู้มากมาย จนตัวเองมาทำงานชิ้นแรก สมัยนั้นปี 2536-2537 เป็นงานโครงการใหญ่ร้อยล้าน ถือเป็นงานชิ้นโบแดงของผมงานแรก คือโครงการของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ทีแรกถูกสบประมาทว่าจะทำเสร็จเหรอ ระยะเวลางานสองปี โชคดีที่ได้ลูกน้องพ่อมาอยู่ด้วยเลยปรากฏว่าผมทำปีเดียวเสร็จ ทำให้ กปภ.สามารถหารายได้จากโครงการนั้นได้จำนวนมหาศาล ที่สำคัญคือทำให้คนใน กปภ.รู้ว่าถ้าเป็นงานที่วงษ์สยามฯ รับทำ งานจบเสร็จชัวร์แน่นอน…”

เมื่อสามารถสร้างผลงานชิ้นโบแดงยืนด้วยขาของตัวเอง อนุฤทธิ์จึงขอเงินจากแม่จำนวน 5 ล้านบาท ไปลงทุนสร้างคลองส่งน้ำในโครงการชลประทานของกรมพัฒนาส่งเสริมการพลังงาน ทำได้ 2 ปี เงินหมด กลายเป็นบทเรียนอีกบทในการเป็นนักธุรกิจ

แม้ถนนที่มุ่งเดินขรุขระไม่ราบรื่น แต่อนุฤทธิ์ยังไม่เข็ด ขอเงินคุณแม่อีกเป็นครั้งที่ 2 รอบนี้ขยับตัวเลขเป็น 20 ล้านบาท นำไปลงทุนในกรมพัฒนาส่งเสริมการพลังงานเช่นเคย แต่คราวนี้เขาลงไปคลุกเอาใจใส่มากขึ้น พร้อมกับนำข้อผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียน

ในที่สุดสามารถหิ้วเงินกลับบ้าน 40 ล้านบาท

เขาว่า “…ตอนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมาผมก็เกิดพลังอย่างมาก ลุยเลย 4-5 โปรเจ็กต์ เดินทางไปทั่วทิศ สมัยนั้นยังนั่งเครื่องบินไม่สะดวก ต้องขับรถเอง ไปเชียงใหม่กลับมานั่งรถทัวร์ไปอีสาน แทบไม่ได้นอนพัก แต่พอเห็นตัวเลขกำไรค่อนข้างจะโอเค…”

 

สุดท้ายหลังจากนั้นคุณพ่อเสียชีวิต อนุฤทธิ์เข้ามารับช่วงโดยทำต่อจากคุณแม่ เริ่มออกประมูลงานต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นงานของการประปาส่วนภูมิภาค อีกด้านคือรับจ้าง eastw ในการออกแบบก่อสร้างวางระบบทั้งหมด เรียกได้ว่างานออกแบบก่อสร้างของ eastw ตั้งแต่แรกนั้น จ้างบริษัทวงษ์สยามฯ ทำแทบทั้งหมด เรียกว่าถ้าเป็นเรื่องน้ำ วงษ์สยามฯ รับทำหมด ยกเว้นน้ำโพลาริสหรือน้ำดื่มที่ไม่ได้ทำ

“ที่ผ่านมามีคนถามว่าบริษัทวงษ์สยามฯ เป็นแค่ตึกแถวห้องเดียวจะสามารถบริหารงานโครงการหมื่นล้านได้หรือ ผมอยากบอกว่า ตอนที่ eastw ก่อตั้งก่อนปี 2537 เขาก็ไปเช่าสำนักงานเล็กๆ อยู่ข้างโรงแรมรามาการ์เด้นส์ มีพนักงานไม่ถึง 150 คน ออฟฟิศผมตอนนี้มี 5 ชั้น พนักงานเกือบ 100 คน บริษัทเราไม่ได้โนเนม แต่เราโลว์โปรไฟล์ ไม่ได้โฆษณา…”

แล้วที่ว่ามีคอนเน็กชั่นกับนักการเมือง? โดนยิงคำถามแบบไม่ตั้งตัว เจ้าของวงษ์สยามก่อสร้างสวนกลับ

“ตอนแรกก็บอกว่าผมโนเนม แล้วว่าผมเป็นผู้มีอิทธิพล ตอนนี้บอกมีคอนเน็กชั่นสูง ตกลงจะเอายังไงกันแน่!… ผมรู้จักท่านบรรหาร ท่านเป็นนักการเมืองผมไม่เคยไปยุ่ง คนอื่นๆ ก็รู้จักกันเพราะเรียนหลักสูตรพิเศษต่างๆ เป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่เคยไปของานใคร…”

 

กลับมาถามถึงเรื่องเซ็นสัญญาโครงการบริหารท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออกที่ค้างคาอยู่?

อนุฤทธิ์หยุดรวบรวมความคิดก่อนบอกว่า “ตามกฎหมายเขาไปยื่นคุ้มครองชั่วคราวไม่ได้ ผมอาจจะยื่นอุทธรณ์ไปทางประธานศาลปกครอง”

เขาอธิบายต่อว่า “เราจ่ายค่าแรกเข้าเมื่อทำสัญญา อันนี้จบถ้าส่งมอบทรัพย์สินพร้อมในวันตามสัญญา ส่วนกรณีถ้าไม่ส่งมอบในวันทำสัญญา วันลงนามก็ต้องจ่ายส่วนหนึ่ง ทีโออาร์กำหนดคือ 480 ล้าน แต่ผมจ่าย 580 ล้าน มากกว่าในทีโออาร์ จริงๆ ผมต้องจ่าย 1,400 ล้านพร้อมส่งมอบ แต่นี่เขาไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สิน ทีโออาร์กำหนดไว้ชัดอยู่แล้ว ฉะนั้น เราไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้ผิดสัญญาเลย แล้วตอนนี้ก็ดำเนินการวางท่อไปแล้วด้วย”

อนุฤทธิ์ว่า “ถ้าได้ทำโครงการกล้าพูดได้เลยว่าก่อให้เกิดประโยชน์กับภาคอุตสาหกรรม ค่าน้ำไม่แพง ขาย 9.50 บาท ยืนพื้นตลอด 30 ปี ขณะที่ eastw ขาย 9.90 บาท”

“ถ้าไม่ลงทุนวางท่อแล้ว 600-700 ล้านก็ไม่สู้ ปล่อยให้เป็นชะตากรรมของภาคอุตสาหกรรมของเออีซี แต่นี่เงินจ่ายไปแล้ว ลงทุนวางท่อแล้ว เกิดยื้อไปอีกปี ไม่ส่งมอบ ก็ตาย”

สุดท้ายแล้วเหมือนจะปลงตก เจ้าของวงษ์สยามฯ ทิ้งท้าย

“ผมมันซื่อเอง…โครงการนี้เกิดไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับ ถือว่าบุญเราไม่มี”