1 ปีอัฟกานิสถานในอุ้งมือทาลิบัน/บทความต่างประเทศ

บทความต่างประเทศ

 

1 ปีอัฟกานิสถานในอุ้งมือทาลิบัน

 

เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่กลุ่มทาลิบัน ขบวนการทางศาสนาและการเมือง ซึ่งรัฐบาลหลายๆ ชาติยังมองว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ได้หวนคืนสู่การกุมอำนาจปกครองในประเทศอัฟกานิสถาน

เป็นการหวนคืนหลังจากสหรัฐอเมริกาตัดสินใจถอนกำลังทหารของตนเองทั้งหมดออกไปจากสมรภูมิรบแห่งนี้ เมื่อสงครามกวาดล้างการก่อการร้ายที่ยืดเยื้อมายาวนานถึง 20 ปี เพื่อตอบโต้เอาคืนจากความสูญเสียครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐครั้งหนึ่งจากเหตุก่อวินาศกรรมโจมตีสหรัฐเมื่อวันที่ 11 กันยายนปี 2001 ที่ถูกเรียกขานว่า “เหตุการณ์ 9/11” ซึ่งทำให้มีผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตอย่างน่าอนาถถึงเกือบ 3,000 รายสิ้นสุดลง

15 สิงหาคมปี 2021 ถือเป็นวันแห่งความล่มสลายของรัฐบาลอัฟกานิสถานที่ชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนอยู่ เมื่อกองกำลังติดอาวุธทาลิบันบุกยึดกรุงคาบูลเป็นผลสำเร็จอย่างง่ายดาย

หลังการหลบหนีออกนอกประเทศไปอย่างสุดอัปยศของอัชราฟ ฆานี ประธานาธิบดีอัฟกานิสถานในขณะนั้น

 

ผ่านไปหนึ่งปีแม้จะมีการประเมินว่าในสายตาชาวอัฟกันส่วนหนึ่งมองว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยในดินแดนอัฟกานิสถานภายใต้อำนาจปกครองอย่างเด็ดขาดของผู้ปกครองทาลิบันจะดีขึ้น

แต่สำหรับคนอัฟกันทั่วไป โดยเฉพาะผู้หญิง มองว่า การกลับมาของกลุ่มทาลิบันกลับมีแต่ความทุกข์ยากเพิ่มขึ้น โดยชาวอัฟกันต้องเผชิญกับความยากจน ความแห้งแล้ง และภาวะทุพโภชนาการที่สาหัสมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ด้านสิทธิของผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในอัฟกานิสถาน ยังตกต่ำลงหนักถึงขีดสุด และปัญหาวิกฤตมนุษยธรรมยังเลวร้ายหนัก โดยไม่ได้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่กลุ่มทาลิบันให้ไว้ว่าจะปกครองแบบอิสลามที่ละมุนละม่อมกว่าที่กลุ่มทาลิบันเคยปกครองอัฟกานิสถานมาในยุคแรกช่วงปี 1996-2001

ฟาติมา หญิงสาวชาวอัฟกันที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเฮรัต ทางตะวันตกของประเทศ ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ในประเทศในมุมที่เธอสัมผัสได้ด้วยตัวเอง บอกเล่าว่า เธอสังเกตได้ถึงการปรับปรุงที่ดีขึ้นในด้านความมั่นคงปลอดภัยในช่วงปีที่ผ่านมา

แต่เธอรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังกับชะตากรรมของผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในอัฟกานิสถานที่ต้องเผชิญกับการถูกลิดรอนสิทธิในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษาและโอกาสการเข้าถึงการทำงาน

โดยกลุ่มทาลิบันยังคงคำสั่งปิดโรงเรียนมัธยมสำหรับเด็กผู้หญิง ส่งผลให้เด็กหญิงอัฟกันหลายหมื่นคนไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ ในขณะที่ผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้กลับไปรับราชการจำนวนมาก ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทาลิบันยังออกคำสั่งให้ผู้หญิงอัฟกันทุกคนต้องปิดคลุมร่างกายขณะอยู่ในที่สาธารณะ โดยให้สวมใส่ชุดบุรกาที่ปิดคลุมร่างกายมิดชิด ที่อ้างว่าเป็นไปตามหลักศาสนาอิสลาม

อามีนา อาเรโซ แพทย์หญิงที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกาซนี ทางตะวันออกเฉียงใต้ บอกว่า “เราทุกคนต่างกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความมืดมิดและความโชคร้าย ผู้คนไม่มีอนาคต โดยเฉพาะผู้หญิง”

 

อัฟกานิสถานยังจมดิ่งอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ โดยที่ทรัพย์สินส่วนใหญ่ในต่างประเทศของรัฐบาลอัฟกานิสถาน ได้ถูกทางการสหรัฐอายัดเอาไว้ เพื่อเป็นการตอบโต้อำนาจปกครองที่กดขี่ของกลุ่มทาลิบัน โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีชาติใดให้การรับรองรัฐบาลทาลิบัน ในฐานะรัฐบาลที่ชอบธรรมของอัฟกานิสถาน

การโดดเดี่ยวอัฟกานิสถานของรัฐบาลชาติต่างๆ ได้สร้างความห่วงกังวลให้กับองค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ ที่มองว่าผลกรรมดังกล่าวมีแต่จะไปตกที่ชาวอัฟกัน โดยจากการประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่าขณะนี้ชาวอัฟกันราวๆ 25 ล้านคนหรือราวครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ ตกอยู่ในความยากจน และการจ้างงานราว 900,000 อัตราในอัฟกานิสถานจะสูญหายไปในปีนี้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะงักงัน

ชาวอัฟกันยังเผชิญกับปัญหาวิกฤตทางมนุษยธรรม ที่ทำให้คนจำนวนมากไร้ที่พึ่ง

นูร์ โมฮัมหมัด เจ้าของร้านขายของชำแห่งหนึ่งในจังหวัดกันดาฮาร์ พื้นที่ที่เป็นศูนย์อำนาจของผู้ปกครองทาลิบัน บอกเล่าว่า ผู้คนที่มาที่ร้านต่างบ่นว่าข้าวของราคาแพงขึ้นมาก

เป็นเสียงโอดครวญที่ทำให้พ่อค้าอย่างเขาเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองในการจะหาผลกำไร

เพราะนั่นเป็นเสียงสะท้อนถึงความยากลำบากที่ผู้คนทั่วทุกหัวระแหงในอัฟกานิสถานต้องก้มหน้าก้มตารับไปด้วยความจำนนภายใต้ยุคปกครองที่มืดมนนี้!