กรมอุตุฯ ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ยุค 4.0 สารตั้งต้นข้อมูลรอบทิศ …มากกว่าแค่พยากรณ์/บทความเศรษฐกิจ

บทความเศรษฐกิจ

 

กรมอุตุฯ ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ยุค 4.0

สารตั้งต้นข้อมูลรอบทิศ

…มากกว่าแค่พยากรณ์

 

‘ยุคดิจิทัล’ มีแอพพลิเคชั่นมากมายให้เลือกตรวจเช็กสภาพอากาศ

แต่แอพพลิเคชั่นที่แม่นยำที่สุดทุกวันนี้ อาจไม่เป๊ะ 100% เพราะการพยากรณ์ = การคาดการณ์ และยากที่จะคาดเดาในระยะยาว เพราะสภาพอากาศขณะนั้นดูปลอดโปร่งสดใสดี แต่อยู่ๆ เมฆดำทะมึนก็แผ่ลงมาปกคลุม กลายเป็นเม็ดฝนโปรยปรายลงมาซะอย่างงั้น

น.ส.ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า หลังเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2565 นโยบายที่มอบให้เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยา คือต้องเป็นมากกว่าผู้ทำหน้าที่พยากรณ์อากาศ เป็นมากกว่าการรายงานสภาพอากาศ และฟ้าฝนจะตกเมื่อไร แต่บทบาทของกรมอุตุฯ ต้องบอกให้ได้ว่า ประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละพื้นที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันมีอย่างไรบ้าง เช่น กลุ่มเกษตรกร เพื่อวางแผนในการใส่ปุ๋ย ให้น้ำ, กลุ่มประมง เพื่อวางแผนการเดินเรือ กลุ่มอุตสาหกรรม คนเมือง ต้องการข้อมูลพยากรณ์อีกแบบหนึ่ง เป็นต้น

ทั้งนี้ อุปสรรคที่จะทำให้กรมอุตุนิยมวิทยาสามารถมีข้อมูลลงลึกเฉพาะพื้นที่ต่างๆ คืออุปกรณ์ในการวัดสภาพอากาศ, ปริมาณน้ำฝน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งมานานตั้งแต่ก่อตั้งกรมอุตุนิยมวิทยามา 80 ปีที่แล้ว ขณะเดียวกันการเก็บข้อมูลยังอาศัยแรงงานจากคนในพื้นที่ เข้าไปจดข้อมูลเป็นช่วงเวลา เช่น 9 โมงเช้าครั้งเดียว ดังนั้น ประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูล เพื่อมาพยากรณ์อากาศจึงไม่แม่นยำ

ประกอบกับอุปกรณ์ดังกล่าวมีไม่ทั่วถึง เช่น จังหวัดขอนแก่น แม้จะเป็นจังหวัดเดียวกัน แต่คนละตำบล มีสภาพอากาศแตกต่างกันอย่างคาดไม่ถึง เพราะพื้นที่ที่ต่างกัน นอกจากนี้ สภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ข้อมูลที่ได้ต่อวันคาดเดายาก จำเป็นต้องมีการวัดสภาพอากาศแบบเรียลไทม์เพื่อความแม่นยำ

การนำดิจิทัลเข้ามาช่วยอย่างเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตออฟธิงส์ (ไอโอที) จะเข้ามาช่วยให้การวัดสภาพอากาศ, ปริมาณน้ำฝน สามารถรายงานได้แบบเรียลไทม์ กรมอุตุนิยมวิทยาจึงร่วมกับโครงการแผนบูรณาการน้ำ ในการเป็นผู้เก็บสถิติปริมาณน้ำฝน เพื่อให้รัฐบาลวางแผนการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเขียนเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างในการติดตั้งอุปกรณ์วัดปริมาณน้ำฝนแบบไอโอทีมาทดแทนอุปกรณ์เดิมเพื่อติดตั้งยังอำเภอเป้าหมาย 1,100 จุด ภายใต้งบประมาณ 615 ล้านบาท

ซึ่งข้อมูลนี้ยังสามารถส่งต่อไปยังเกษตรกรเพื่อวางแผนในการทำการเกษตร, ผู้ว่าราชการจังหวัดในการวางแผนช่วยเหลือประชาขน ตลอดจนประชาชนที่ต้องการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้

 

ส่วนปรากฏการณ์เอลนีโญ และลานีญา ที่มีผลต่อสภาพอากาศทั้งภัยแล้งและมวลน้ำมหาศาลนั้น อธิบดีกรมอุตุฯ กล่าวว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวนจากที่เคยเป็น ร่องมรสุมที่คาดว่าจะเป็นในรูปแบบที่เรียนมา กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทำให้ Nowcasting หรือการรายงานสภาพอากาศรายวัน จำเป็นมากขึ้น อุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ ต้องเป็นการรายงานแบบเรียลไทม์

“การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ไม่ใช่ว่าเราจะเอาคนออก แต่ต้องปรับบทบาทของเจ้าหน้าที่ เปลี่ยนเป็นผู้บำรุงรักษาอุปกรณ์ที่เก่าแก่ให้ยืดอายุออกไป ดังนั้น คนกรมอุตุฯ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบต่องาน” อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยากล่าว

น.ส.ชมภารีกล่าวว่า กรมอุตุฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการตรวจ เฝ้าระวัง ติดตาม รายงานสภาวะอากาศ อากาศเพื่อการบิน และปรากฏการณ์ธรรมชาติ พยากรณ์อากาศและเตือนภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ข้อมูลที่กรมอุตุฯ ทำต้องส่งไปยังกรมอุตุวิทยาโลก เพื่อให้เอกชนทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลและสร้างบริการหรือแอพพลิเคชั่นแก่ประชาชน

ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนตั้งคำถามคือทำไมต้องมีกรมอุตุฯ ในเมื่อดูบริการจากเอกชนได้นั้น จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะกรมอุตุฯ ของทุกประเทศต้องทำหน้าที่เก็บข้อมูลของประเทศตนเอง หากไม่มีการเก็บข้อมูล ก็ไม่มีสารตั้งต้นให้เอกชนนำมาสร้างแอพพลิเคชั่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

 

ดังนั้น ความสำคัญของกรมอุตุฯ คือ การมีข้อมูลมหาศาลทั้งข้อมูลปัจจุบัน และสถิติย้อนหลังที่พร้อมส่งให้ทุกหน่วยงานรวมถึงประชาชนที่ต้องการใช้ประโยชน์ ซึ่งการพยากรณ์อากาศมีจำนวนตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และความซับซ้อน ระหว่างตัวแปรการเพิ่มขึ้นของข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม และประมวลผลข้อมูล ต้องมีอุปกรณ์ภาคพื้นดิน, การตรวจบนอากาศ, เรดาร์ และดาวเทียม ตลอดจนการดูเมฆฝนประกอบกัน

บิ๊กดาต้าที่สำคัญนี้ ทำให้กรมอุตุฯ ทำโครงการกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) วางผังเมืองร่วมกับจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจำเป็นต้องมีข้อมูลสถิติน้ำ ส่วนเรื่องท่องเที่ยวจะทำงานร่วมกับเมืองพัทยา ส่วนดีป้าจะมีโครงการแฮกกาธอนในการเฟ้นหาสตาร์ตอัพด้วย โดยมอบโจทย์กรมอุตุฯ ให้สตาร์ตอัพคิดเพื่อนำมาใช้ต่อไป ที่ผ่านมากรมอุตุฯ ยอมรับว่าไม่เก่งเรื่องการสื่อสารสู่ประชาชนให้เข้าใจง่ายและทันสมัย จึงต้องให้สตาร์ตอัพเข้ามาช่วย

ขณะเดียวกัน กำลังขยายความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการแจ้งเตือนภัย การพยากรณ์อากาศรายพื้นที่ไปยังประชาชนพื้นที่ต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดย กสทช.เป็นตัวกลางทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ในลักษณะ ‘เซลล์ บรอดแคส’ เมื่อประชาชนเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ จะได้รับข้อความเตือนภัยผ่านเอสเอ็มเอส

“ระบบนี้มีต่างประเทศใช้แล้ว 19-20 ประเทศ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ใต้หวัน เป็นต้น ระบบคล้ายกับโปรโมชั่นที่เมื่อเดินเข้าห้างสรรพสินค้า แล้วได้รับเอสเอ็มเอสโปรโมชั่นเข้าเบอร์มือถือ ตรงนี้จะตอบโจทย์มากกว่าการแจ้งผ่านไลน์กลุ่ม เพราะคนจะรู้ข่าวสารต้องเข้าร่วมกลุ่ม มีข้อจำกัด หรือก่อนหน้านี้ มีแนวคิดให้โอเปอเรเตอร์ส่งเป็นข้อความไปยังมือถือประชาชนเลยโดยเลือกให้ตรงกับพื้นที่ แต่มีข้อจำกัด เพราะการดึงข้อมูลและส่งผ่านท่อใช้เวลานาน เช่น คนเชียงใหม่มี 10 ล้านเลขหมาย กว่าโอเปอเรเตอร์จะดึงเลขหมายแยกออกมาจากจำนวน 100 ล้านเลขหมาย ที่เคยส่งตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ซึ่งไม่ทันต่อเหตุการณ์ หากโครงการนี้เกิดมันจะต่อยอดไปยังการแจ้งเตือนเรื่องอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เรื่องอาชญากรรม การแจ้งคนหาย ไฟไหม้ เป็นต้น” น.ส.ชมภารีกล่าว

แม้เป็นองค์กรที่อยู่มานาน ทั้งความเทอะทะ เก่าแก่ ทำให้ต้องจับตาว่า การเขย่าใหญ่ปรับโฉม ‘กรมอุตุนิยมวิทยา’ นี้ จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่