ฟังเสียงจาก ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ หลังศึก ‘ซักฟอก’ การเมืองไทย ไม่มีอนาคต? ถ้ายังไม่แก้ รธน.

แม้ว่า 11 รัฐมนตรีจะรอดจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายไปได้

แต่มีหลายประเด็นในสภาที่มีแง่มุมที่น่าคิด-วิเคราะห์ต่อ “มติชนสุดสัปดาห์” จึงหาโอกาสชวน “อดีตดาวสภา” วิโรจน์ ลักขณาอดิศร (ชมคลิป แง่มุมที่น่าคิด วิเคราะห์ ) อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล มามองถึงมุมต่างๆ จากศึกซักฟอกครั้งนี้

วิโรจน์คิดว่ารัฐบาลนี้จะอยู่จนครบวาระแน่นอน แต่สิ่งที่น่าสนใจและมาคุยกันต่อ คือผลกระทบจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 นี้ มันมีการเอื้อต่อผลประโยชน์ของรัฐบาลชุดนี้อย่างมาก

ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นการจัดตั้งรัฐบาลแบบ “เสียงปริ่มน้ำ” แต่ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สามารถทำให้ใช้วิธีการแปลกประหลาดต่างๆ ที่สากลโลกไม่ยอมรับ ดูดเสียง ย้ายเสียงเข้าได้ ยังไม่รวมเรื่องของการมีนั่งร้านที่แข็งแรงอย่าง ส.ว. 250 เสียง ที่คณะรัฐประหารเดิมสืบทอดอำนาจมา มีการแต่งตั้งองค์กรอิสระต่างๆ อย่าง ป.ป.ช.อีก

ทำให้รัฐบาลชุดนี้สามารถที่จะรอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปได้ถึง 4 ครั้ง ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าตุปัดตุเป๋ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย นั่งร้านของรัฐบาลชุดนี้แข็งแรงมาก จึงเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถที่จะอยู่จนครบวาระได้

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ ส.ส.ที่ได้รับเลือกมาจากประชาชน สามารถที่จะถูกดูดหรือย้ายสังกัดพรรคการเมืองได้

ระบบงูเห่าจะไม่เกิดขึ้น ถ้าประชาชนสามารถถอดถอนได้ พรรคขับออกได้แล้วก็ต้องเลือกตั้งใหม่เมื่อนั้น ส.ส.ก็จะไม่กล้าขายตัวเอง แต่ทุกวันนี้คือ ถ้าพรรคขับออก ย้ายพรรคได้เลย เหมือนเป็นการลงโทษพรรคการเมืองทั้งๆ ที่พรรคการเมืองไม่ได้ทำอะไรผิด

ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดบกพร่องที่ต้องได้รับการแก้ไข

และถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ต่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ มีการแลนด์สไลด์เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลเสียงข้างมากที่ไม่ใช่พรรคพวกของพวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ก็จะมาในรูปแบบของการป้ายสี ถูกดูดถูกดึงตัว ส.ส.จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่อยู่คนละขั้วกับคณะ คสช.เดิมอยู่ดี

ซึ่งคำถามก็คืออำนาจของประชาชนที่ส่งผ่านระบบการเลือกตั้ง ส่งผ่านระบบตัวแทนให้เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังอยู่

พูดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “อดีตดาวสภาก้าวไกล” ระบุว่า คิดไว้แต่แรกแล้วว่าไม่น่าจะมีใครที่หลุดจากตำแหน่งอยู่แล้ว แต่จะมองในมุมว่าใครได้คะแนนมากสุดน้อยสุดแล้วมาวิเคราะห์ต่อเอา

ซึ่งโดยปกติใครที่โดนหลักฐานที่มีความชัดเจน หรือที่เรียกว่า “หมัดน็อก” เข้าไปส่วนใหญ่ก็จะไม่รอด ยิ่งถ้าโดนกันเยอะหลายคนก็สามารถทำให้มีการยุบสภาได้เลย

แต่ก็จะเห็นว่าสมัยนี้มันไม่เป็นแบบนั้น ยกตัวอย่างรองนายกรัฐมนตรีอย่างคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ผมถือว่าชี้แจงถือว่าดีพอสมควรเลยนะ ถ้าเทียบกับคุณจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคุณนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ที่มาจากสังกัดเดียวกันคือประชาธิปัตย์

โดยเฉพาะคุณนิพนธ์ ภาษากายต่างๆ ที่แสดงออกถึงอาการเลิ่กลั่ก เป็นการทำให้เห็นว่าเขามีการวิตกกังวล แต่ปรากฏว่าได้คะแนนสูงสุด หรืออย่างคุณจุติที่โดน ส.ส.ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ จากพรรคก้าวไกลอัดกลางสภา มีหลักฐานชัดเจน แล้วหายไป 24 ชั่วโมงเพื่อกลับมาชี้แจงพร้อมหลักฐานที่ไม่ได้หนักแน่นอะไร แต่ปรากฏว่าคะแนนชนะคุณจุรินทร์

ซึ่งนี่แหละที่แสดงให้เห็นว่า “คะแนนสนับสนุนว่าไว้วางใจหรือไม่ ไม่ได้มาจากการชี้แจง มันมาจากอำนาจที่จะไปกด หรือขู่ให้ ส.ส.จำใจที่จะยกมือให้กับตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพในการชี้แจงแต่อย่างใด”

เพราะถ้ามาจากคุณภาพในการชี้แจงจริง คุณจุรินทร์ถือว่าทำได้ดีกว่า 2 คนนั้นแน่นอน แต่ผลออกมาว่าได้คะแนนน้อยสุดซะอย่างนั้น

คนที่ชี้แจงได้ยอดแย่ที่สุด ก็คงจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีการทำท่าทางชี้ไปที่นายกรัฐมนตรีพร้อมกับพูดว่า “นี่คือคนทำรัฐประหาร” แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ยิ้มรับพร้อมกับยกมือขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นความอับอายต่อโลกเลยทีเดียว ที่นายกรัฐมนตรียอมรับว่าตัวเองทำรัฐประหารออกมาได้ด้วยท่าทีภาคภูมิใจ

และในส่วนของการชี้แจงด้วยตัวเนื้อหาก็ถือว่าแย่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา แต่คะแนนเสียงที่ออกมากลับท่วมท้น

ซึ่งนี่อธิบายได้อย่างเดียวเลยว่า ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าอำนาจที่ พล.อ.ประวิตรมีนั้น สามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง

และนี่คือสิ่งที่ทำให้ประวิตรได้คะแนนสูงสุดหรือเปล่า?

 

วิโรจน์บอกว่า “การอภิปรายกลางสภามันมีการบันทึกวิดีโอไว้ และการที่ พล.อ.ประวิตรชี้ไปที่นายกฯ ประยุทธ์ นอกจากจะไม่ใช้สิทธิ์พาดพิงแล้ว ยังยิ้มแป้นยอมรับ ดังนั้น ถ้าหากในอนาคต อำนาจทางการเมืองของเผด็จการเสื่อมถอยลง แล้วการทำรัฐประหารของคณะ คสช.ถูกนำมาขึ้นกระบวนการยุติธรรมเมื่อไหร่ แล้วตอนนั้นศาลต่างๆ กลับมาเป็นที่ยอมรับนับถืออีกครั้งหนึ่งแล้ว ณ วันนั้น สิ่งนี้จะถือเป็นหลักฐานที่ถูกบันทึกไว้ว่า “พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ทำรัฐประหารแต่เพียงผู้เดียว โดยที่ พล.อ.ประวิตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และท่านประยุทธ์เองก็ยอมรับด้วย”

เหมือนตัว พล.อ.ประยุทธ์เอง เขาอยู่ในสถานการณ์ที่รายล้อมไปด้วยคนที่พูดความจริงเฉพาะสิ่งที่เขาอยากฟังเท่านั้น หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ความมืดบอดของเผด็จการ” ถ้ามีคนไปเล่าความจริงที่เขาไม่อยากฟัง หรือเป็นสิ่งที่เขาต้องปรับปรุงตัว เดาว่าเขาคงจะโวยวาย ผู้พูดคนนั้นอาจถูกสั่งย้ายหรือถูกเกลียด

ดังนั้น “ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา คงจะสกัดความจริงที่ท่านนายกฯ ไม่อยากรู้ออก แล้วเล่าเฉพาะส่วนที่ดีๆ เท่านั้น ท่านประยุทธ์เลยหลงคิดไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูกต้องแล้ว” แล้วก็คิดไปว่ามีคนรักเขามากมาย มันคือท่อน้ำเลี้ยงจิตใจที่ทำให้เขาอยู่ได้

และสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้บ้านเมืองมันแย่

“เพราะว่าบ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของ พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพวก แต่เป็นของประชาชน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ควรจะต้องถามคนอื่นว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี มันดีจริงหรือไม่”

ซึ่งจะเห็นว่าในประเทศนี้คนกลุ่มหนึ่งก็รวยเอาๆ ส่วนคนจนดิ้นรนยังไงก็ยังเป็นคนจน หรือถึงแม้มีคนจน 1% ที่ดิ้นแล้วรวยก็เอามาโฆษณาหลอกประชาชนเพื่อให้พวกเขาอยู่ในระบบงี่เง่านี่ต่อไป

นี่แหละคือสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ทำ คือเขารับรู้แต่ข่าวดีๆ ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเลือกสรรมาให้แล้ว

 

เมื่อให้วิเคราะห์การเลือกตั้งปี 2566 ที่กำลังจะมาถึง ประชาชนจะเห็นอะไร? วิโรจน์บอกว่า ถ้าเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมา ที่ตัวผู้ว่าฯ คนก่อนก็คงไม่ได้คิดหรอกว่าตัวเองจะแพ้ราบคราบขนาดนี้ เพราะอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนกับเวลาที่เราไปคอนเสิร์ตเราก็จะเห็นว่ามีแต่คนชอบ หน้าเวทีตะโกนว่ารัก แต่คนข้างนอกเขาอาจจะเกลียดกันหมดแล้วก็ได้ ในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ก็อาจจะเจอกับสิ่งเหล่านี้

ซึ่งในคราวนี้ เราจะเห็นพรรคการเมืองต่างๆ ค่อยๆ ล่องลอยออกจากท่านประยุทธ์ เพราะอย่างที่รู้กันดี ‘ตอนนี้ท่านขายไม่ได้แล้ว’ เพียงแต่เขายังไม่ยอมรับตัวเองก็เท่านั้น นอกจากนี้ เราอาจจะเห็นว่ามีพรรคการเมืองเกิดใหม่ที่อ้างความเป็นประชาธิปไตย แต่ยังรับทุนทรัพย์จากขั้วอำนาจเดิมๆ อยู่ก็ได้

สุดท้าย “ถ้าให้ผมแนะนำท่านนายกฯ แบบกัลยาณมิตรจริงๆ นะ ท่านเปิดโลกออกมาจากที่ที่มีแต่เสียงอวยท่านเถอะ ท่านจะรู้ว่าประเทศมันไม่ไหวแล้ว” ประชาชนต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มีการบริหารแบบนี้มาประมาณ 8-9 ปี ทำให้หลายๆ คนต้องเสียโอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัว ที่แย่กว่านั้นคือหลายคนไม่ใช่แค่จมปลักกับที่เดิม แต่โดนฉุดให้ตกต่ำไปอีกต่างหาก

ดังนั้น จึงอยากจะวิงวอนสมาชิกวุฒิสภาและรัฐบาลทุกท่านว่า “คำว่าดีของพวกท่าน คนอื่นเขามองว่ามันดีจริงไหม”

สุดท้ายถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ท่านจะโอบกอดไว้คือความล้มเหลวของประเทศ ถ้ารักประเทศจริงๆ คนเหล่านี้ต้องยอมให้คนอื่นมีโอกาสบริหารประเทศบ้าง…

ชมคลิป