ร้านไม่สะดวกซื้อ ของคุณทกโก / เครื่องเคียงข้างจอ : วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

 

ร้านไม่สะดวกซื้อ

ของคุณทกโก

 

เป็นชื่อหนังสือครับ หนา 278 หน้า ถ้าอ่านเพลินๆ วันสองวันก็อ่านจบ เพราะผู้เขียนสามารถชักนำให้เราอยากติดตามเรื่องราวไปเรื่อยๆ แบบวางไม่ลง

ผู้เขียนที่ว่านี้คือ นักประพันธ์ชาวเกาหลีใต้ที่ชื่อ “คิมโฮย็อน” หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานลำดับที่ 5 ของเขา ส่วนผู้ทำหน้าที่แปลคือ “มินตรา อินทรารัตน์” ผู้รักวรรณกรรมและช่ำชองในภาษาเกาหลี เพราะร่ำเรียนที่มหาวิทยาลัย และได้ไปต่อปริญญาโทที่เกาหลีอีกด้วย

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้มาจากชื่อเรื่องก่อนเลย เพราะเราทุกคนคุ้นเคยกับคำว่า “ร้านสะดวกซื้อ” เป็นอย่างดี แต่นี่ตรงกันข้ามคือ “ร้านไม่สะดวกซื้อ” มันไม่สะดวกอย่างไร ชวนให้ติดตาม และต่อด้วยว่า “ของคุณทกโก” คุณทกโกเป็นใคร มาเกี่ยวพันกับร้านที่ไม่สะดวกซื้อนี่อย่างไร

การสร้างความสงสัยให้ผู้อ่านตั้งแต่ชื่อเรื่อง เป็นกุศโลบายที่กวักมือให้ผู้อ่านหยิบมาอ่านได้อย่างดี

 

จริงๆ แล้วร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่สะดวกซื้อนี้ เป็นของ คุณนายย็อมย็องซุก อายุอานามราว 70 ปี ร้านมีชื่อว่า Always อยู่ในแขวงซ็องพา ของกรุงโซล เป็นย่านที่ที่ดินไม่แพงเท่าย่านชื่อดังอื่นๆ คนที่อาศัยอยู่แถบนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ไม่ก็นักศึกษาที่อาศัยในหอพัก

ร้าน Always นี้ที่ไม่สะดวกซื้อสักเท่าไรนัก เพราะเป็นร้านขนาดเล็ก สินค้าที่วางก็ไม่ได้มีให้เลือกหลากหลาย ไม่มีการทำอีเวนต์เพื่อกระตุ้นการขาย แถมอยู่ในซอยเข้ามาอีก ไม่ได้ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ จึงเหมือนกับว่าร้านนี้เปิดไปอย่างนั้นไปวันๆ เพื่อรอวันปิดตัว เพราะยอดขายตกลงทุกปี

แต่คุณนายย็อมย็อกซุก ไม่เคยคิดจะขาย ทั้งๆ ที่จริงๆ ถ้าไม่มีร้านนี้ เธอก็อยู่ได้ด้วยเงินบำนาญจากการเป็นครูมาตลอดชีวิต แต่ที่เธอไม่ปิดมันเพราะมันเป็นที่ให้ “ชีวิต” กับพนักงานในร้านของเธอ ที่แต่ละคนก็มีความจำเป็นในชีวิตทั้งนั้น หากร้านนี้ปิดตัวลงแล้วพวกเขาจะทำอย่างไร

พนักงานขายของที่ว่านี้มีอยู่ 3 คน คือ กะเช้าจะเป็นเวรของ คุณซ็อนซุก ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่โบสถ์ของคุณนายเจ้าของร้าน ส่วนกะบ่ายถึงหัวค่ำ จะเป็นเวรของ คุณชีฮย็อน หญิงวัยใกล้ 30 ที่กำลังตามหาอนาคตที่ดีกว่า ส่วนกะดึกจะเป็นของ คุณซ็องพิล ชายวัยหลังเกษียณ ที่ไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่างานนี้

อ้าว แล้วคุณทกโก ที่เป็นชื่อเรื่องไปอยู่ไหนล่ะ เขาเป็นใครกัน?

 

“คุณทกโก” เป็นคนไร้บ้าน หรือจะเรียกคนเร่ร่อนก็ได้ เขาอาศัยหลับนอนและใช้ชีวิตอยู่ที่สถานีรถไฟโซล เหมือนคนเร่ร่อนคนอื่นๆ อายุอานามก็ต้องใช้ว่าเป็นคนวัยกลางคน เขามีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนหมี อันนี้ตามที่ผู้เขียนบรรยายนะครับ

ถ้าเป็นหนังเขาก็คือตัวเอก และพระเอกของเรื่อง

คุณนายย็อมย็อกซุก มาเจอกับเขาด้วยเหตุบังเอิญ เพราะเธอทำกระเป๋าใบเล็กที่ใส่ของส่วนตัวทั้งบัตรประชาชน และอื่นๆ อยู่ในนั้นตกไว้ที่สถานีกรุงโซล เธอมารู้ตัวอีกทีเมื่ออยู่บนรถไฟเพื่อเดินทางไปที่อื่นแล้ว

จู่ๆ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น และคนที่กดโทร.มาคือ ทกโก นั่นเอง เขาบอกว่าเขาเก็บกระเป๋าของเธอได้ เธอดีใจมากและบอกว่าจะย้อนกลับไปเอาที่สถานีโซล เมื่อถามว่าจะให้ไปเจอเขาได้ที่ไหน คำตอบคือ ร้านสะดวกซื้อจีเอส ทางไปขึ้นรถไฟสายสนามบิน

ขณะที่คุณนายกำลังเดินทางย้อนกลับไปสถานีโซล เขาก็โทร.กลับมาอีกบอกว่า “ผมหิว…ขอซื้อ…ข้าวกล่อง ร้านสะดวกซื้อ …ดะ…ได้ไหมครับ”

ที่พิมพ์เป็นท่อนๆ อย่างนี้ เพราะเป็นอาการพูดติดอ่างไม่ค่อยเป็นประโยคทกโกคนนี้

 

เมื่อทั้งสองได้เจอกันก็เป็นการเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมอย่างไม่คาดคิดในเวลาต่อมา แม้ตอนแรกจะทุลักทุเลไม่น้อยเลย เพราะทกโกเป็นคนไร้บ้านที่มีสภาพที่เน่าเต็มที กลิ่นของเขาทำให้คนที่อยู่ใกล้ต้องอุดจมูก และที่สำคัญเขาลืมความทรงจำในอดีตว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แล้วทำไมถึงมาเป็นคนไร้บ้านได้

คุณนายได้กระเป๋าคืนโดยที่ต้องแลกกับการเจ็บตัวของทกโก เพราะมีคนไร้บ้านคนอื่นมารุมทำร้ายเพื่อจะแย่งกระเป๋าใบนั้นไป แต่เขาก็สู้จนได้มันกลับมาคืนให้คุณนายในสภาพที่ยับเยิน เธอตอบแทนด้วยการพาเขาเดินตามมาที่ร้าน Always ของเธอ และบอกว่าต่อไปนี้ ให้เขามากินข้าวกล่องฟรีๆ จากร้านนี้ได้ทุกวัน

การปฏิสัมพันธ์ของคนทั้งสอง เป็นไปอย่างแปลกๆ จากการพูดจาและการกระทำของทกโกเป็นหลัก และคุณนายก็รู้สึกดีกับตัวของทกโกมาก เพราะเขาดูมีความจริงใจ มีน้ำใจ และไม่เป็นพิษเป็นภัย ผิดกับภาพลักษณ์ภายนอก

ทกโกก้าวเข้ามาเกี่ยวข้องกับร้าน Always นี้ได้เมื่อคุณซ็องพิลที่อยู่เวรกะดึกจำเป็นต้องลาออกอย่างกะทันหัน เป็นการยากที่จะหาคนมาทำงานกะดึกนี้แทนได้ในเวลาอันแสนสั้น หลังจากคุณนายทนลงมาทำแทนอยู่ไม่กี่วัน

เธอก็ได้ลูกจ้างคนใหม่ คือ คุณทกโก นั่นเอง

หนังสือ “ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก” สำนักพิมพ์ Piccolo

ลองคิดดูสิว่า พนักงานขายเดิมอีกสองคนจะรู้สึกอย่างไรกับเขา คนไร้บ้านที่ซอมซ่อและดูเหมือนสติไม่ค่อยจะดีจากความจำเสื่อม พูดจาก็ติดอ่าง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคน ตัวก็เหม็น จะมาทำงานพาร์ตไทม์เฝ้าร้านสะดวกซื้อช่วงกลางคืน ทำไมคุณนายถึงไว้ใจเขาขนาดนั้น

แต่เมื่อเจ้าของร้านตัดสินใจก็ไม่มีใครกล้าขัด

และพนักงานทั้งสองคือ ซ็อนซุก และชีฮย็อน ก็จำต้องมีปฏิสัมพันธ์กับทกโกอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะชีฮย็อนที่คุณนายให้เธอรับหน้าที่ในการสอนงานให้เขา จึงทำให้เธอจำต้องใกล้ชิดกับเขาแม้ไม่อยากเลยก็ตาม

แต่เธอก็พบว่าเขาสามารถจดจำและท่องชื่อบุหรี่ที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อและรุ่นได้ภายในคืนเดียว

ส่วนซ็อนซุก ที่ต้องรับเวรต่อจากทกโกในช่วงเช้า ก็ต้องเจอะเจอเขาตามหน้าที่ ซี่งเธอแสดงออกอย่างเปิดเผยถึงการไม่ไว้ใจเขาเอาเสียเลย แถมเมื่อหมดเวลาทำงานแล้ว ทกโกก็ยังไม่ยอมกลับ ยังอยู่ในร้านเพื่อจัดเรียงสินค้า และเช็ดโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งบริการไว้หน้าร้าน

จึงสร้างความอึดอัดใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก

 

แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองเปิดใจยอมรับเขาได้ในเวลาต่อมา ก็คือการเป็นคนตรงๆ เปิดเผย และคิดในแง่บวกกับคนอื่นเสมอ การพูดตรงๆ ของเขาที่เขาสื่อสารต่อคนทั้งสอง และกับลูกค้าของร้าน มาจากความรู้สึกของเขาจริงๆ ที่บางครั้งฟังดูทะแม่งๆ แปลกๆ และเหมือนไม่ไว้หน้าคนฟังก็ตาม

แต่เมื่อมาขบคิดแทนการโกรธ หรือเมื่อยอมเปิดใจสักหน่อย ก็จะพบกับเจตนาดี และการแก้ปัญหาที่ดีได้เหมือนกัน

นั่นทำให้เขาไม่ได้เพียงแต่ให้บริการสินค้ากับลูกค้าเท่านั้น แต่เขาได้ให้บริการกำลังใจ ให้คำแนะนำดีๆ และทางแก้ปัญหาให้กับคนต่างๆ ที่แวะเวียนเข้ามาในร้านสะดวกซื้อแห่งนี้โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

จะเป็นเรื่องไหน ปัญหาใด ต้องไปอ่านเอาเองนะครับ เรียกว่าเราเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ทกโกเขาจะรู้สึก คิด และจัดการกับเรื่องเหล่านี้อย่างไร นี่เองที่บอกว่าเป็นความสามารถของผู้เขียนที่ทำให้เราอยากติดตามเรื่องราวของหนังสืออย่างไม่ลดละ

ในขณะเดียวกันกับที่เราอยากรู้ว่าทกโกจะช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร เราก็มีคำถามตัวเบ้อเริ่มว่าแล้วจริงๆ ทกโกเป็นใครมาจากไหนกันแน่ เชื่อว่าทุกคนคงอยากรู้ประวัติของเขา เหมือนตัวละครอื่นๆ ที่ก็อยากรู้เช่นกัน

โดยเฉพาะกับคุณนายย็อมย็อกซุกเจ้าของร้าน

 

ในช่วงหลังของเรื่อง เราจะค่อยๆ รู้ว่า ทกโกคนนี้เป็นใครมาก่อน ได้รู้ว่าเพราะสาเหตุใดที่ทำให้เขาความจำเสื่อม ลืมอดีต และกลายมาเป็นคนไร้บ้าน รวมทั้งที่มาของชื่อ “ทกโก” ที่จริงๆ แล้วเขาเอามาจากคนไร้บ้านอีกคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้ว

เมื่อได้รู้อดีตของเขา ก็จะพบว่าช่างตรงกันข้ามกับการเป็นทกโกแห่งร้าน Always นี้เสียเหลือเกิน และเป็นอดีตที่เป็นตราบาปในชีวิตของเขาด้วย เมื่อเขาได้ความทรงจำกลับคืนมาและเรียนรู้ว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้างกับตัวเอง และโดยเฉพาะที่ทำกับครอบครัวคือภรรยาและลูกสาวที่เขารักมาก เขาก็ตั้งใจที่จะเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ ที่มีคุณค่ากับตนเองและผู้อื่นให้จงได้

สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนตั้งใจจะถ่ายทอดจากหนังสือเล่มนี้คือ ความสัมพันธ์ของครอบครัวนั้นเป็นเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่มาก ทุกปัญหาของตัวละครในเรื่องนี้ล้วนมีพื้นฐานมาจากปัญหาของคนในครอบครัวทั้งสิ้น

และเมื่อเป็นครอบครัวในสังคมประเทศเกาหลี ที่มีความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำสูง ซ้ำมีกรอบของความเชื่อที่เป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ยิ่งทำให้ปัญหาของแต่ะคนนั้นยากเข็ญขึ้นไปอีก

ที่ว่านี้เป็นสิ่งที่เราเคยได้รับรู้เวลาดูซีรีส์หรือภาพยนตร์ของเกาหลี และนี่มาตอกย้ำจากงานเขียนที่อ่านสนุก เพลิดเพลิน แต่แฝงประเด็นเชิงสังคมที่น่าสนใจได้อย่างน่าคิด ซึ่งเหตุการณ์ของเรื่องก็ทันสมัยพอดู เพราะมีเล่าถึงช่วงของไวรัสโคโรนาออกอาละวาดโลกใบนี้รวมทั้งเกาหลีด้วย มีเรื่องบิตคอยน์ มีปัญหาข้อพิพาทระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่นที่เป็นสถานการณ์จริงๆ

สุดท้ายแล้วทกโกบอกให้เราได้รู้ว่า การเปิดใจรับฟังคนอื่นเสียบ้าง จะทำให้ปัญหาผ่อนหนักให้เป็นเบา และสามารถหาทางออกได้

 

ตอนหนึ่งในหนังสือที่เป็นตอนท้ายๆ ทกโกได้พูดถึงความรู้สึกนึกคิดของตนเองเอาไว้ว่า

“สุดท้ายแล้วชีวิตของคนเราก็คือความสัมพันธ์ และความสัมพันธ์ก็คือการสื่อสาร ตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่าความสุขอยู่ไม่ไกล และเกิดขึ้นได้ เมื่อแบ่งปันจิตใจกับคนที่อยู่ข้างๆ ผมค่อยๆ เรียนรู้และคุ้นชินกับสิ่งนั้น จากช่วงเวลาที่ได้อยู่ในร้านออลเวย์ส… จากวันเวลาหลายปีที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานีโซลด้วย ครอบครัวที่มาส่งสมาชิกในบ้าน คนที่มารอรับคนรัก ลูกๆ ที่มาพร้อมกับพ่อแม่ เพื่อนที่ออกเดินทางไปด้วยกัน… ผมเคยนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูพวกเขา พูดกับตัวเอง เดินเตร็ดเตร่ไปมา และเป็นทุกข์ แล้วในที่สุดผมก็ตระหนักรู้ถึงอะไรบางอย่าง”

อยากเชิญชวนให้คุณได้อ่านนะครับ เพราะชีวิตทุกวันนี้จริงๆ ก็ไม่ค่อยจะสะดวกอยู่แล้ว

แต่ร้านไม่สะดวกซื้อแห่งนี้ จะทำให้คุณมองชีวิตได้สะดวกมากขึ้นแน่นอน •