เครื่องเคียงข้างจอ วัชระ แวววุฒินันท์/เดือนแห่งการรำลึกถึงพ่อ

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

เดือนแห่งการรำลึกถึงพ่อ

เดือนตุลาคม 2559 คนไทยได้ตกอยู่ในความรู้สึกของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ จากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 บรรยากาศทุกแผ่นดินไทยล้วนปกคลุมไปด้วยความเศร้าโศก

เดือนตุลาคม 2560 ในปีนี้ ความรู้สึกนั้นได้หวนคืนมาอีกครั้งสู่จิตใจของประชาชนชาวไทย ด้วยเป็นวาระแห่งการเตรียมถวายพระเพลิงพระองค์ท่านในวันที่ 26 ตุลาคมที่จะมาถึงนั่นเอง

สิ่งที่ดูเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็เห็นจะเป็นการจัดสร้างพระเมรุมาศที่มณฑลพิธีสนามหลวงนั่นเอง จากการปรับพื้นที่ ก็เริ่มสร้างโครงสร้างของพระเมรุมาศและของอาคารต่างๆ เราได้เห็นข่าวความคืบหน้าของการก่อสร้างมาเป็นระยะ จนกระทั่งได้ก่อสร้างทั้งส่วนอาคารและภูมิทัศน์รอบบริเวณเสร็จสิ้นลงในสิ้นเดือนกันยายน ช่วงเดือนตุลาคมก็เป็นการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ

พระเมรุมาศที่มีความคืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมานั้น เหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้รำลึกว่าใกล้จะถึงเวลาที่คนไทยหลายๆ คนไม่อยากให้มาถึง

จิตอาสาหลายๆ คนที่ตั้งใจสละเวลา ลงแรงกายแรงใจ เพื่อช่วยงานในส่วนต่างๆ ได้บอกความรู้สึกว่า ดีใจที่ได้ช่วยงานจนเสร็จ แต่ก็สะท้อนใจว่าเมื่องานเสร็จก็ใกล้วันที่พระองค์ท่านจะจากเราไปจริงๆ แล้วนะ

เหล่าจิตอาสาหลายร้อยหลายพันคนที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ บางคนไม่ได้ทำงานเชิงทักษะและฝีมือเพราะไม่มีความถนัดเพียงพอ ก็อาสาในเชิงแรงงาน เช่น เสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟน้ำ ขนข้าวของต่างๆ

แต่เพียงนี้ก็อิ่มเอมใจแล้ว

อีกส่วนหนึ่งที่น่าชื่นชมอย่างมากคือเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในการกำกับดูแลให้ความสะดวกแก่ประชาชนที่เข้ามาถวายความเคารพพระบรมศพที่มีมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และเป็นเช่นนี้ในทุกวันจนมาถึงเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 5 ตุลาคม

เจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องตรากตรำอยู่กับความหนาแน่นคับคั่งของประชาชน ตรากตรำอยู่กับความผันแปรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพดินฟ้าอากาศ รายละเอียดในการทำงานที่ปรับเปลี่ยนเสมอ เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่แวะเวียนเข้ามาให้แก้ปัญหารายวัน

หากไม่ใช่ด้วยการตั้งมั่นสูงสุดที่จะทำหน้าที่ในการให้การถวายความเคารพพระบรมศพเป็นไปอย่างเรียบร้อยที่สุด ก็คงทำไม่ได้ บางคนบอกถึงความรู้สึกภายในว่า

“เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยหนักแล้วนะ แต่เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่พระองค์ท่านทำให้กับแผ่นดินนี้”

และเหล่าเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเหล่านี้ก็ได้เหนื่อยหนักกันเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงหลังของการเปิดให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าถวายความเคารพตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสนองหัวใจของคนไทยที่ขอใกล้ชิดกับบุคคลที่เป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งเป็นครั้งสุดท้าย

ในหน้าจอโทรทัศน์ช่วงนี้ ทุกช่องเริ่มมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่านทยอยออกมาปะปนไปกับรายการปกติ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่านและเทิดพระเกียรติในพระบารมีและพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ ก่อนที่จะถึงวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ 26 ตุลาคม

ในเรื่องราวหลากหลายเหล่านี้ มีคำพูดหนึ่งที่โดนใจหลายๆ คน คือ คำกล่าวที่ว่า คนไทยรู้จักพระองค์ท่านเป็นอย่างดีจากการทรงงานของพระองค์ท่าน

ซึ่งการทรงงานของพระองค์ท่านนั้นมีมากมายกว่า 4,000 โครงการ และล้วนแล้วแต่เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อการอยู่ดีกินดีของคนไทยทั้งสิ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกพื้นที่ ทุกเรื่องราว ของคนไทยที่เรามีกินมีใช้ มีให้ความสะดวกสบายต่างๆ ก็มาจากการทรงงานของพระองค์นั่นเอง จึงทำให้คนไทยเราไม่เคยลืมพระองค์ท่านเลย และยิ่งในช่วงแห่งการรำลึกถึงพระองค์ตลอดเดือนตุลาคมนี้แล้ว ก็ยิ่งจะเป็นช่วงที่เราทุกคนคงคิดถึงพระองค์ท่านกันอย่างมาก

คิดถึงบรรยกาศแห่งความเงียบ วังเวง เหมือนขาดเสาหลักที่พึ่งพิง ที่เคยได้ประสบมาเมื่อเกือบ 1 ปีที่แล้ว

ภาพของวันเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง ที่มีประชาชนเฝ้าฯ รับเสด็จเนืองแน่นสองข้างถนน ทุกคนสวมชุดดำ และมีใบหน้าที่หมองเศร้า พร้อมดวงตาที่ระบมจากการร้องไห้ ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนไทย

และเมื่อภาพนั้นได้หวนคืนมาอีกครั้งในช่วงนี้ หัวใจที่เหมือนจะกระชุ่มกระชวยขึ้นมาแล้วในช่วงที่ผ่านมาก็พลอยแห้งผากขึ้นอีกครั้ง

เมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสไปที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ตรงสี่แยกปทุมวัน ที่นั่นมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับพระองค์ท่านที่งดงามมากๆ

เริ่มจากการจัดแสดงศิลปะ ที่เหล่านักศิลปะทั้งหลายมาแสดงผลงานที่สะท้อนถึงพระองค์ท่านในหัวข้อที่ว่า “ลม น้ำ ป่า ฟ้า แรงบันดาลใจจากพ่อ” เพราะพระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ของพระองค์สัมพันธ์กับเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งนั้น ที่เห็นชัดๆ คือเรื่องของ “น้ำ” และ “ป่า” โดยมีเรื่องของ “ลม” และ “ฟ้า” ประกอบกันไปตามหลักสมดุลของธรรมชาติ

เมื่อชมนิทรรศการส่วนนี้แล้ว ทำให้รู้สึกเลยว่า พระนาม “ภูมิพล” ของพระองค์ท่านนั้น ช่างมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ และเป็นรูปธรรมแห่งการพัฒนาชีวิตคนไทยจริงๆ

นิทรรศการส่วนถัดมา คือ “พระราชาในดวงใจ” เป็นการแสดงงานศิลปะที่สะท้อนถึงพระองค์ท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ จากหลายศิลปินชั้นนำของไทยในหลายรูปแบบ รวมทั้งงานประติมากรรมหุ่นนิ่งที่เป็นพระรูปเหมือนของพระองค์ ต้องบอกว่าชมไปด้วยความชื่นชมที่ศิลปินเหล่านั้นสามารถสะท้อนบุคลิกลักษณะของพระองค์ออกมาได้อย่างดี

หลายภาพเราจะเห็นถึงพระเมตตาในพระเนตร หลายภาพเราจะเห็นถึงความมุ่งมั่น อดทน บางภาพสะท้อนถึงพระบารมีของพระองค์ แต่ไม่ว่าจะภาพไหน เราได้เห็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่อยู่ในกรอบรูปนั้น

มีห้องพิเศษที่ผู้ชมต้องต่อคิวรอเป็นแถวยาว เพราะจำกัดให้ชมได้คราวละ 15 คน ห้องที่ว่านี้ได้นำเอาภาพและของต่างๆ ที่เป็นเรื่องราวของพระองค์ในยุคสมัยต่างๆ มาจัดแสดง โดยหยิบยืมมาจากผู้เป็นเจ้าของตัวจริงที่หลากหลาย เราจะได้เห็นหลายๆ ภาพ หลายๆ สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในบรรยากาศของ “รูปติดบนฝาบ้าน” และ “ของวางในตู้โชว์ของบ้าน” ยังไงยังงั้น

และนิทรรศการชั้นบนสุด เป็นการจัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งผู้ชมประทับใจมาก เพราะนอกจากจะได้เห็นฝีมือในการถ่ายภาพ และการเล่าเรื่องผ่านภาพของพระองค์แล้ว เรายังได้เห็นมุมมองของพระองค์ที่สะท้อนออกมาในภาพเหล่านั้นอีกด้วย

และทำให้เรารู้ได้อย่างเต็มหัวใจว่า “พระองค์คือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ ที่มีหัวใจให้กับผู้คนและสิ่งรายล้อมโดยแท้”

นิทรรศการนี้ยังจัดแสดงให้ชมกันอีกหลายเดือน ชมแล้วก็อยากไปชมอีก เพราะนั่นเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน…อีกครั้ง

ขอเชิญทุกท่านไปสัมผัสกันนะครับ