ธงทอง จันทรางศุ | กาสิโน และกองสลาก

ธงทอง จันทรางศุ

นิสัยเสียอย่างหนึ่งของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาคือความอยากจะเสี่ยงโชคหรือเล่นการพนัน

ไม่ต้องนึกถึงเรื่องอะไรที่ใหญ่โตหรอกครับ เอาแต่เพียงแค่การจัดงานปีใหม่แล้วต้องนำของขวัญไปจับสลากแลกเปลี่ยนกัน ก็กระเดียดเข้าไปทางนี้มากพอสมควรแล้ว

เวลามีงานการกุศลสำคัญประจำปี เช่น งานกาชาด ไม่ว่าจะเป็นงานส่วนกลางหรืองานของจังหวัดต่างๆ การออกสลากกาชาดก็ดี การสอยดาว เพื่อเสี่ยงโชคชิงรางวัลต่างๆ ก็ดี ล้วนเป็นเรื่องที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป และไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นบาปกรรมหรือความชั่วแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามเวลาใครเอาสลากกาชาดมาบอกขายแล้ว ข้างฝ่ายเราไม่ควักเงินออกมาซื้อ กลับดูเป็นการ “บอกบุญไม่รับ” อย่างไรก็ไม่รู้

การเสี่ยงโชคหรือการพนันที่เป็นการยิ่งใหญ่สำคัญขึ้นไปกว่านั้นยังมีอีกมาก เช่น การเปิดบ่อนกาสิโนหรือบ่อนการพนัน การออกสลากที่เรียกว่าสลากกินแบ่งหรือล็อตเตอรี่ เรื่องเหล่านี้เถียงกันไม่รู้จบครับ ว่าสมควรมีมากน้อยเพียงใดหรือไม่ อย่างไร

ลองเหลียวไปดูต่างประเทศก่อนเป็นไร เรื่องของบ่อนการพนันนี้เป็นของแปลกเอาการ เพราะพอเรียกว่า “กาสิโน” เข้าแล้วดูมันหรูหราขึ้นมาทันตาเห็นเลยทีเดียว บาปกรรมอะไรก็ดูจะน้อยลงไปมากพอสมควร

ตัวอย่างเช่น ถ้าใครไปถึงเมืองลาสเวกัสที่สหรัฐอเมริกาแล้วไม่ได้เข้าบ่อนกาสิโนกับเขา กลับมาถึงเมืองไทยแล้วต้องอับอายขายหน้ามากเพราะไม่รู้จะตอบคำถามเพื่อนฝูงได้อย่างไรว่า ไปถึงแหล่งแล้ว ทำไมถึงไม่เข้ากาสิโนกับเขาบ้าง

ราชรัฐโมนาโกก็เป็นอีกเมืองหนึ่งหรือประเทศหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือนามในเรื่องของกาสิโนระดับโลก และเป็นรายได้สำคัญของประเทศเสียด้วย

พูดแบบชวนให้เถียงก็ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วเมืองลาสเวกัสและโมนาโกที่มีกาสิโนมากมาย ผู้คนพลเมืองของท้องถิ่นนั้นๆ ไม่ติดการพนันกันงอมแงมจนเสียผู้เสียคนหรือ ทำไมเขาจึงตั้งเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่ได้โดยไม่ล้มละลายขายตัว

มีก็แต่คนต่างถิ่นนี่แหละครับที่ไปล้มละลายเสียการพนันที่นั่นจนหมดเนื้อหมดตัว

กลับมาพูดถึงเมืองไทยของเราบ้าง

เรื่องที่สมควรจะมีบ่อนการพนันหรือไม่นั้นเถียงกันไม่รู้จบมาหลายยุคหลายสมัยเต็มที

ผมเคยอ่านหนังสือและจำได้ว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองตอนปลาย รัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ได้จัดตั้ง “กาสิโน” ขึ้น เป็นกิจการของรัฐบาลโดยมีกระทรวงการคลังเป็นเจ้ามือ เปิดกิจการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2488

ทำการอยู่ได้เพียงแค่สี่เดือนก็ปิดตัวลง จำได้พอเลาๆ ว่า สาเหตุสำคัญคือชาวบ้านจำนวนไม่น้อยติดการพนันงอมแงมจนไม่เป็นอันทำการงานใดๆ รัฐบาลเห็นว่าได้ไม่คุ้มเสียจึงเลิกบ่อนหลวงที่ว่านี้เสีย

ตั้งแต่นั้นมาการเปิดบ่อนการพนันขนาดใหญ่ที่เรียกว่ากาสิโนก็ห่างหายไปจากประเทศไทยจนบัดนี้ ระหว่างเวลานานปีที่ผ่านมาก็มีคนพูดถึงความคิดที่จะให้มีบ่อนการพนันขนาดใหญ่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

เคยมีคนคิดจะไปตั้งบ่อนการพนันหรือกาสิโนขนาดใหญ่ขึ้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้กลางภาคอีสาน นัยว่าเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของภูมิภาคนั้น แต่ยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็โดนทัวร์ลงเสียจนเลิกคิดไป

นอกจากทุ่งกุลาร้องไห้แล้ว ผมยังเคยได้ยินว่ามีคนคิดจะตั้งบ่อนขึ้นตามชายแดน เช่น ที่อรัญประเทศ เพื่อดักนักพนันไทยไม่ให้ต้องเดินทางข้ามแดนไปเล่นการพนันที่ปอยเปตฝั่งกัมพูชา ข้อนี้คิดมานานแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จผลเหมือนกัน

สองวันก่อนดูรายงานข่าวทางโทรทัศน์ว่ามีคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรคณะหนึ่งกำลังศึกษาเรื่องทำนองนี้อยู่ แต่เรียกชื่อเสียหรูหราจนฟังไม่เข้าใจว่าหมายถึงกาสิโนหรืออะไรกันแน่ ประมาณว่ากำลังศึกษาเรื่อง Entertainment Complex ซึ่งไม่รู้ว่าจะแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไรดี

ข้อนี้ผมจะขอพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ในสถานนันทนาการครบวงจรดังกล่าว จะมีโรงหนัง โรงแรม โรงพยาบาล ศูนย์การค้าและอะไรต่อมิอะไรก็มีไปเถิด แต่ถ้าพูดถึงกาสิโนแล้ว ผมว่าคงเถียงกันน่าดู และเรื่องจะยาวมากจนจบไม่ลง

สรุปว่าไม่ได้สร้างล่ะครับ

ลดระดับลงมาจากบ่อนการพนันหรือกาสิโนขนาดใหญ่ มาพูดถึงเรื่องการออกล็อตเตอรี่ดูบ้าง

ไม่น่าเชื่อว่ากิจการล็อตเตอรี่หรือสลากกินแบ่งในประเทศไทยจะเป็นการใหญ่ระดับชาติถึงขนาดนี้

มีรายงานข่าวว่าการออกสลากแต่ละงวด มีผู้ซื้อทั้งในระบบออนไลน์หรือซื้อจากผู้ขายรายย่อยตลอดไปจนการแทงหวยใต้ดินซึ่งเป็นกิจการเกี่ยวเนื่อง จำนวนรวมกันเห็นจะได้ประมาณยี่สิบล้านคน นี่เข้าไปเกือบหนึ่งในสามของประชากรทั้งประเทศเลยนะครับ

เฉพาะผู้ขายรายย่อยก็มีจำนวนประมาณ 300,000 คน

ปัญหาเรื่องล็อตเตอรี่ของรัฐบาลราคาแพงเกินกว่าราคาที่กำหนดไว้ใบละ 80 บาท แล้วขายขึ้นราคาไปจนถึงใบละประมาณ 100 บาท เพราะซื้อขายกันเป็นตกต่อหรือเป็นทอดๆ ไปจากต้นทางถึงปลายทาง ผ่านหลายมือเต็มที จึงเป็นปัญหาที่กระทบถึงคนจำนวนมากอย่างที่ผมคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

พอรัฐบาลคิดทำระบบขายล็อตเตอรี่ออนไลน์ขึ้นมา ข้างฝ่ายคนซื้อก็พอใจเพราะซื้อได้ราคา 80 บาทตามราคาสลากจริงๆ ความเดือดร้อนก็กลับไปอยู่ที่คนขายจำนวนหลายแสนคนอย่างที่ว่า เพราะเมื่อคนส่วนมากเปลี่ยนไปซื้อสลากออนไลน์เสียแล้ว พ่อค้าแม่ขายล็อตเตอรี่แบบเดิมก็ตกงานสิครับ

รัฐบาลหรือกองสลากจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรก็ต้องตามดูกันต่อไป

ชีวิตจริงก็โหดร้ายแบบนี้แหละ เมื่อมีอะไรที่เกิดขึ้นใหม่ สิ่งที่มีมาแต่เดิมก็ต้องปรับตัว ถ้าปรับตัวเป็นปรับตัวได้ก็อยู่รอด ถ้าปรับตัวช้าหรือไม่ยอมปรับตัวก็มีแต่อันตรายเท่านั้นที่จะมาถึงตัว

ไหนๆ ก็พูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ผมอดสงสัยและตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า การซื้อขายของออนไลน์นี้ก็มีอยู่ในโลกมาช้านานแล้ว ทำไมกองสลากเมืองไทยถึงเพิ่งจะมาคิดระบบขายล็อตเตอรี่ออนไลน์ขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง

ข้อนี้มีคนเขานินทาธิบาย (เป็นคำสนธิระหว่างคำว่านินทากับคำว่าอธิบาย ฮา!) ว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากการขายสลากแบบเดิมเป็นกำลังสำคัญในทางการเมืองระดับชาติของผู้ที่อยู่ในอำนาจ ในเวลาที่ยังสมัครสมานสามัคคีกันอยู่ การขายสลากเกินราคา 80 บาทถึงแม้จะมีคนบ่นพึมพำอย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เพราะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่

มาบัดนี้ความสัมพันธ์สนิทสนมแบบเดิมเปลี่ยนรูปไปแล้ว อย่ากระนั้นเลย เราจงนำระบบขายสลากออนไลน์มาใช้เพื่อได้ทั้งคะแนนนิยมจากคนซื้อสลาก ขณะเดียวกันก็เป็นการตัดกำลังของกองกำลังต่างฝ่ายทางการเมืองไปด้วยในตัวเถิด

เข้าตำรากระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว

ผมฟังเขานินทามาแบบนี้ก็นำมาเล่าต่อ

ทั้งที่ในใจไม่ได้เชื่อเลยครับว่าข่าวเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง ใครจะไปทำอะไรเลอะเทอะขนาดนั้นได้

จริงไหมครับ

พวกเรามองโลกในแง่ดีเข้าไว้แล้วจะมีความสุขครับ

ราตรีสวัสดิ์