เส้นทางสู่ ‘เดอะเกรตคริปโตแคลช’/บทความต่างประเทศ

บทความต่างประเทศ

 

เส้นทางสู่ ‘เดอะเกรตคริปโตแคลช’

 

ตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิตอทัล โดยเฉพาะ “บิตคอยน์” (Bitcoin) เวลานี้กำลังเป็นที่จับตามอง หลังจากที่ราคาร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยปรับตัวทะลุลงไปต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020

ส่งสัญญาณตลาดขาลง จนหลายฝ่ายถึงกับเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “เดอะเกรตคริปโตแคลช”

ที่มาของคำจัดกัดความดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อบิตคอยน์ร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดถึง 17,593 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมมา นับเป็นราคาที่ตกลงต่ำสุดครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2020

และนับจนถึงเวลานี้ บิตคอยน์สูญเสียมูลค่าไปแล้วมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์จากจุดสูงสุดที่ 68,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา

ข้อมูลจากคอยน์มาร์เก็ตแคป (coinmarketcap.com) ก็แสดงให้เห็นว่ามูลค่าตลาดของสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีที่เคยสูงถึงระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าหายไปแล้วถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือเพียง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เน้นย้ำทิศทางตลาดได้อย่างชัดเจน

 

หากย้อนกลับไปมองเส้นทางความนิยมของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี เริ่มต้นขึ้นยุคของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เศรษฐกิจเกิดการชะงักงันทั่วโลก รัฐบาลทุกประเทศต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนัก และผ่อนคลายมาตรการทางการเงินลงอย่างเต็มที่

ในช่วงเวลาที่หุ้นร่วงลงอย่างหนักสถานการณ์ล็อกดาวน์ “คริปโตเคอร์เรนซี” สกุลเงินดิจิตอลที่ผู้คนหวังว่าจะเป็น “สกุลเงินแบบใหม่” ที่ขจัดอำนาจจากผู้กำกับดูแลและเป็นอิสระจากภาวะเงินเฟ้อก็ได้รับความสนใจมากขึ้น

ความนิยมดังกล่าว ทำให้คริปโตเคอเรนซี โดยเฉพาะ “บิตคอยน์” กลายเป็นขุมทรัพย์ของนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ “ให้ผลตอบแทนสูง” ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ นั่นส่งผลให้ตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิตอลเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเริ่มทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการการเงินลง บวกกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลให้เกิด “วิกฤตอาหารและพลังงาน” และเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักตามมา

ธนาคารกลางหลายประเทศต้องแก้ปัญหาด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้นักลงทุนเลือกที่จะถอนทุนออกจากสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอย่าง “คริปโตเคอร์เรนซี” รวมถึง “ตลาดหุ้น” หันไปลงทุนกับสินทรัพย์ปลอดภัย ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าเช่นเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมไปถึงทองคำมากขึ้น และยังทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐประกาศเข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” อย่างเป็นทางการเช่นกัน

ในเวลาเดียวกันเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบกับ “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเทอร์ร่าบล็อกเชน (Terra blockchain) ที่มีโทเคนอย่าง “ลูน่า” (LUNA) ที่ผูกตัวเองกับ “สเตบิลคอยน์” UST สกุลเงินดิจิตอลที่ผูกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสุดท้ายโดนนักลงทุนโจมตีมูลค่าจนถึงกับล่มสลายลงไป

 

การปรับตัวลงของตลาดอย่างรุนแรงส่งผลให้ “เซลเซียสเน็ตเวิร์ก” Celsius Network บริษัทผู้ให้บริการกู้ยืมคริปโตเคอร์เรนซีประกาศระงับการ “ถอน” และ “โอน” คริปโตเคอร์เรนซีระหว่างบัญชี ส่งสัญญาณสถานการณ์ตลาดที่ไม่มั่นคง

ไม่เท่านั้น “ธรีแอร์โรวส์แคปิตอล” (Three Arrows Capital) กองทุนบริหารจัดการการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซียักษ์ใหญ่ เผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างหนักและประกาศจะขายทรัพย์สินและยื่นข้อความช่วยเหลือทางการเงิน ตามมาด้วย “บาร์เบล ไฟแนนซ์” (Babel Finance) บริษัทผู้ให้บริการกู้ยืมเงินสกุลดิจิตอลอีกรายก็ประกาศระงับการถอนและโอนตาม “เซลเซียส” ไปด้วย

สถานการณ์วงการคริปโตฯ ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นเมื่อยังมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีที่ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคอยน์เบส (Coinbase) บริษัทสัญชาติอเมริกันที่บริหารจัดการแพลตฟอร์มเทรดคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประกาศเลิกจ้างพนักงานสัดส่วน 18 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 1,100 คน

ไบรอัน อาร์มสตรอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งคอยน์เบส ก็ออกมายอมรับว่าบริษัทนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไปในช่วงที่ตลาดกำลังเฟื่องฟูในช่วงที่ผ่านมา และตลาดคริปโตฯ นั้นกำลังจะเข้าสู่ “ฤดูหนาวของคริปโตฯ” ที่จะมีแนวโน้มลักษณะนี้ไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังจากเศรษฐกิจโลกบูมต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี

นอกจากนี้ ยังตามมาด้วยบริษัทคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Global Inc, Gemini และ BlockFi ที่ออกมาประกาศว่าจะมีการเลิกจ้างพนักงานอีกหลายพันคนเช่นเดียวกัน

 

นักวิเคราะห์คาดการณ์อนาคตของบิตคอยน์เอาไว้ในหลายทิศทาง โดยเจฟเฟรย์ กุนด์แลช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DoubleLine Capital บริษัทบริหารจัดการการลงทุนในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ระบุว่า จากแนวโน้มของตลาดที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จะไม่น่าแปลกใจเลยหากบิตคอยน์ร่วงลงไปต่ำในระดับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ

เดวิน เจอราร์ด ผู้วิพากษ์วิจารณ์สกุลเงินดิจิตอลและผู้เขียนหนังสือวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิตอล ระบุว่า การร่วงลงอย่างหนักของสกุลเงินดิจิตอลแสดงให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ของหน่วยงานกำกับดูแลที่ควรจัดการควบคุมอุตสาหกรรมการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว

พร้อมกับระบุว่า นักลุงทุนหน้าใหม่โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ลงทุนไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อผิดๆ และเหยื่อในเรื่องนี้ก็คือคนทั่วไปนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นในทิศทางตรงข้ามเช่นกันที่มองว่าบิตคอยน์จะมีราคาพุ่งไปได้ถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐได้

ขณะที่ผลศึกษาของธนาคารดอยช์แบงก์พบว่ามีนักลงทุนบิตคอยน์จำนวนถึง 1 ใน 4 ที่เชื่อว่าบิตคอยน์จะพุ่งทะยานไปถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐภายใน 5 ปี

ขณะที่บางส่วนเน้นย้ำข้อเท็จจริงที่ว่าบิตคอยน์ยังคงมีมูลค่าสูงกว่าเมื่อหลายปีก่อนถึงกว่า 2 เท่า และการร่วงลงอย่างหนักของบิตคอยน์นั้นเป็น “วัฏจักร” ที่จะสามารถฟื้นคืนสู่เส้นทางได้อีกครั้ง

และแน่นอนว่า “เวลา” เท่านั้นที่จะต้องทำงาน เพื่อพิสูจน์การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ได้