ครูพี่โอ๊ะ จริยธรรม โอ๊ย โอ๊ย สะเทือน “ภูมิใจไทย” แรงไปจนถึง “ประยุทธ์” ?

บทความในประเทศ

 

เคส ครูพี่โอ๊ะ

จริยธรรม โอ๊ย โอ๊ย

 

พรรคภูมิใจไทย ที่ว่ากำลังโดดเด่น เนื้อหอม และมีพลังดูดทางการเมืองสูงนั้น

ตอนนี้กำลังเผชิญกับ “มุมด้านกลับ”

ที่อาจทำให้ต้องปรับทัพรับมือกันให้ดี

ทั้งเรื่อง “กัญชา” ที่แม้จะบรรลุเป้าหมาย พูดแล้วทำได้ สามารถปลดล็อกกัญชาเสรีได้

แต่ก็กำลังมีปัญหาช่วงรอยต่อที่ไม่สามารถออกกฎหมายมารองรับ “ปัญหาข้างเคียง” ที่เกิดขึ้นได้

ทำให้ภาพกัญชาไม่สดใสอย่างที่หวัง แถมยังสร้างความหวั่นวิตกถึงผลร้ายที่ตามมาจากการปลดล็อกกัญชาดังกล่าวด้วย

เช่นเดียวกับภาพทางการเมือง ที่ผ่านมา มีภาพค่อนข้างดี มีเอกภาพ กลุ่มการเมืองต่างๆ ในสังกัดเข้มแข็ง ไร้ปัญหา

จนถูกมองว่า พรรคภูมิใจไทยนี้แหละจะเป็นพรรคการเมืองที่จะสกัดยุทธศาสตร์ “แลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทยได้

ทำให้ “เสียง” ของพรรคภูมิใจไทยในรัฐบาลมีน้ำหนัก และแกนนำในรัฐบาลตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาต้องฟัง

ถือว่ามีเครดิตที่ดียิ่ง

 

แต่กระนั้น ในทางการเมือง มีเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ

อย่างการที่จู่ๆ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด 2 พ่อลูกตระกูลวิลาวัลย์ ทั้งนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาการ และนายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปราจีนบุรี และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง กรณีถูกกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐออกโฉนดที่ดินบุกรุกป่าเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่ จ.ปราจีนบุรี กว่า 150 ไร่

ซึ่งผลจากคดีนี้ กระทบกับพรรคภูมิใจไทยทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

 

ผลกระทบโดยตรงนั้น ก็เนื่องจากนางกนกวรรณดำรงตำแหน่งใดในทางการเมือง ที่พรรคภูมิใจไทยมอบหมายให้รับผิดชอบ นั่นก็คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

เป็นกระทรวงศึกษาธิการที่ถูกคาดหวังเป็นอย่างสูงจากสังคม ว่าบุคคลที่เข้ามารับหน้าที่บริหาร ต้องเป็น “แบบอย่าง” แก่สังคม นักเรียน และเยาวชนในทาง “จริยธรรม”

จริยธรรมที่มีความแตกต่างเป็นอย่างมาก ระหว่างเรื่องของกฎหมายกับเรื่องของจริยธรรม

เรื่องของกฎหมายตัดสินโดยศาล แต่เรื่องของจริยธรรมตัดสินโดยสังคม ซึ่งละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะจริยธรรมต้องเริ่มต้นด้วยความสำนึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตนเอง

ซึ่งนางกนกวรรณที่เรียกขานตัวเองว่า “ครูพี่โอ๊ะ” ย่อมจะซาบซึ้งมากกว่าคนอื่น

แม้ว่าในเบื้องต้น จะยังเป็นเพียงข้อกล่าวหา ต้องรอพิสูจน์กันในชั้นศาล

แต่ในเชิงจริยธรรม ในเชิงผู้บริหารกระทรวงศึกษาฯ และในฐานะพี่ครูโอ๊ะ อาจจะละเอียดอ่อน และมีระดับเพดาน “สูง” กว่าคนอื่น

 

ยิ่งกว่านั้น ในกรณีนี้ แม้ว่านางกนกวรรณจะเข้ามอบตัวต่ออัยการ และถูกนำส่งต่อศาล แต่ก็มีเหตุที่ทำให้สังคมกังขาเพิ่มขึ้น

เมื่อบิดา นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งถูกกล่าวหา 3 ข้อหาประกอบด้วย

1. เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ ซื้อรักษาทรัพยากรโดยใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ 151

2. สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ประกอบ 86

และ 3. ข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำเอกสาร รับรองเอกสาร ซึ่งมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จตามมาตรา 162 ประกอบ 86

เกิดหายตัวไป ไม่ยอมมารายงานตัวกับอัยการ จนกระทั่งมีการขอหมายศาลเพื่อจับกุมตัว และศาลก็ได้อนุมัติ

แต่ตำรวจ ป.ป.ช. และอัยการ ก็ต้องคว้าน้ำเหลว เมื่อไร้วี่แววของนายสุนทร ไม่สามารถจับตัวมาดำเนินคดีได้

ทำให้คดีความของนายสุนทร หมดอายุความเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565

สร้างความประหลาดใจให้กับสังคมอย่างยิ่ง ว่าทำไมจึงมีการดำเนินการคดีล่าช้า และทอดยาวมาถึง 20 ปี

เพิ่งมาเร่งกันในภายหลัง โดย ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำ ซื้อรักษาทรัพยากรโดยใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ 151

ส่วนข้อหาที่ 2 และ 3 หมดอายุความในชั้น ป.ป.ช.แล้ว

ได้ส่งสำนวนมายังสำนักงานอัยการปราบปรามคดีทุจริตฯ ภาค 2 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565

ส่วนอัยการสูงสุดในฐานะผู้มีอำนาจสั่งการ ได้พิจารณาสั่งคดีวันที่ 7 มิถุนายน 2565 และได้ส่งเรื่องกลับไปยังอัยการสำนักงานปราบปรามทุจริตฯ 2 เพื่อประสานกับ ป.ป.ช. นำตัวผู้ถูกกล่าวหามาฟ้อง แต่นายสุนทรไม่มา จึงมีการขอศาลออกหมายจับ แต่ก็ไม่พบตัว ทำให้ที่ชี้มูลความผิดหนึ่งข้อหา หมดอายุความในวันที่ 13 มิถุนายน 2565

ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมผู้ที่รับผิดชอบจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

มีใครประวิงเวลาหรือไม่

จึงทำให้ ป.ป.ช. ตำรวจ และอัยการ ออกมาชี้แจงว่าแม้คดีนายสุนทรจะหมดอายุความ แต่ก็ยังมีคดีบุกรุกอุทยานฯ อีกหลายคดี ดังนั้น ถ้าจะหนีต้องหนีตลอดชีวิต

 

แต่นั่นดูเหมือนสังคมจะไม่หายคลางแคลงใจ ด้วยที่ผ่านมา ฝ่ายที่อยู่ “ฟากรัฐบาล” มักใช้ช่องความล่าช้าของการทำคดี ทำให้หมดอายุความอยู่หลายครั้ง

ที่โด่งดัง คือกรณีที่พนักงานอัยการสำนักงานจังหวัดพัทยา ไม่สามารถนำตัวนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือนายเสกสกล หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ มาฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยาในคดีล้มประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ปี 2552 ได้ทัน จนคดีขาดอายุความ

ทำให้นายเสกสกลลอยนวลจากคดีดังกล่าวและกลับมามีบทบาททางการเมืองในปัจจุบัน

เมื่อเกิดกรณีนายสุนทรขึ้นมา ทำให้หลายคนอดนึกย้อนถึงกรณีดังกล่าว ขึ้นมาไม่ได้

และแม้ว่าปัจจุบัน นายสุนทรจะเป็นนายก อบจ.ปราจีนบุรี และไม่ได้เกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทยโดยตรง

แต่กระนั้น หากพิจารณา “ทางอ้อม” จะพบว่านายสุนทรในวัยแปดสิบสามปี ได้สร้างเครือข่ายการเมือง สั่งสมอำนาจ-บารมี จนกลายเป็น “บ้านใหญ่ปราจีนบุรี”

โดยนายสุนทรเข้าสู่การเมืองด้วยตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองปราจีนบุรี ในปี 2523

ก่อนขยับเป็น ส.ส.ปราจีนบุรี ในอีก 3 ปีต่อมา ในสังกัดพรรคชาติไทย

และเป็น ส.ส.มาต่อเนื่อง 8 สมัย แต่เปลี่ยนสังกัดพรรคหลายพรรค

ตั้งแต่ชาติไทย, ราษฎร, ความหวังใหม่, ไทยรักไทย, มัชฌิมาธิปไตย และภูมิใจไทย

ปี 2563 นายสุนทรย้ายกลับไปลงเล่นการเมืองสนามท้องถิ่น ได้รับเลือกให้เป็นนายก อบจ.ปราจีนบุรี แทนน้องสาวคือนางบังอร วิลาวัลย์ อดีตนายก อบจ.ปราจีนบุรี 4 สมัย ที่สะดุดจากปัญหา ป.ป.ช.เช่นกัน

ส่วนเวทีการเมืองระดับชาติ ได้ผลักดันนางกนกวรรณบุตรสาว และนายอำนาจ วิลาวัลย์ หลานชาย เป็นตัวแทน

และสามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส.ปราจีนบุรีให้พรรคภูมิใจไทยได้ยกจังหวัด

จนสามารถดันนางกนกวรรณขึ้นแท่นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กลายเป็นครูพี่โอ๊ะได้สำเร็จ

 

ภาพของนายสุนทรจึงผูกพันกับพรรคภูมิใจไทยอย่างมาก

ดังนั้น เมื่อนายสุนทรถูกกล่าวหาบุกรุกที่อุทยานฯ และ “หายตัวไป” อย่างลอยนวล

จึงมิอาจปัดประเด็นข้อสงสัยถึงคอนเน็กเชั่นที่มีกับพรรคภูมิใจไทยได้

กลายเป็นผลกระทบโดยอ้อม ที่โยงไปถึงครูพี่โอ๊ะอย่างปฏิเสธได้ยาก

ซึ่งพรรคภูมิใจไทยได้พยายามชี้แจงว่า กรณีเรื่องนางกนกวรรณเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค

โดยนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย บอกว่า กรณีที่นางกนกวรรณถูกดำเนินคดีเป็นคดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในนามพรรค จึงเป็นเรื่องระหว่างนางกนกวรรณกับกระบวนการยุติธรรม และเมื่อมีคดีเกิดขึ้นก็ได้ไปรายงานตัวต่อศาลเรียบร้อยแล้ว และเข้าสู่การพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม

“ท่านยังสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป” นายศุภชัยระบุ

 

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ย้ำเช่นกันว่า กรณีนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรรค ข้อหาที่นางกนกวรรณถูกกล่าวหา ไม่ได้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือกระทำผิดเกี่ยวกับพรรคการเมือง ตัวพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

และขอให้เป็นไปตามกระบวนการที่เดินไปแล้ว ตอนนี้ ป.ป.ช.ชี้มูลและได้ส่งไปที่อัยการในการสั่งฟ้อง ถ้าศาลรับฟ้อง กฎหมายระบุว่าบุคคลนั้นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตรงนั้นพรรคก็จะมาหารือกันอีกครั้ง

เช่นเดียวกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ข้อเท็จจริง โดยนางกนกวรรณระบุว่า พร้อมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง

ส่วนจะต้องให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ก่อนหรือไม่ นายศักดิ์สยามยืนยันว่า “ไม่หรอก”

และดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเรื่องกฎหมาย ก็ดูจะเห็นสอดคล้อง โดยระบุว่า นางกนกวรรณไม่ต้องลาออกจนกว่าจะได้ความว่าผิด หรือศาลวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง และหยุดปฏิบัติหน้าที่

 

เมื่อทั้งแกนนำในพรรคภูมิใจไทยและในรัฐบาลยืนยันเป็นเสียงเดียวกันเช่นนี้ ย่อมทำให้เก้าอี้ของนางกนกวรรณ แข็งแกร่งและสอดคล้องกับเจ้าตัวที่ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ต่อไป

ซึ่งท่าทีเช่นนี้ ก็คงต้องถามฝ่ายค้านที่กำลังจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายอนุทิน และนายศักดิ์สยาม ว่าจะเห็นสอดคล้องหรือไม่

หรือนี่อาจจะเป็นปม “ร้อน” อีกประเด็นหนึ่ง ที่พรรคฝ่ายค้านจะนำไป “ซักฟอก” นายกฯ และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ในเรื่องที่มุ่งไปแต่เรื่องกฎหมาย จนละเลยจริยธรรมของรัฐมนตรีในสังกัด

ด้วยกรณีของนางกนกวรรณ เป็นคำถามในเรื่องจริยธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย

และผู้ที่ปกป้อง ย่อมถูกสงสัยถึงการไม่มีจริยธรรมด้วย

ซึ่งอาจถูกนำไปผูกโยงกับญัตติไม่ไว้วางใจ ที่กำลังจะระเบิดขึ้น

โดยเฉพาะในแง่มุมที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ โพสต์ข้อความแสดงความเห็นกรณีนายวิษณุกล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนางกนกวรรณ ว่าไม่ต้องลาออกจนกว่าจะได้ความว่าผิด หรือศาลวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง และหยุดปฏิบัติหน้าที่

โดยระบุว่า

“เมื่อกฎหมายไม่สามารถเอาผิดผู้ถูกกล่าวหาได้ ผมอยากให้จริยธรรมเข้าจัดการ แต่เมื่อกฎหมายและจริยธรรม ถูกโยนทิ้งถังขยะไปแล้ว บ้านเมืองเราจะอยู่กันอย่างไร?”

ถือเป็นคำถามอันแหลมคมต่อครูพี่โอ๊ะ และพรรคภูมิใจไทยอย่างยิ่ง