เครื่องรางสำหรับปัดเป่าความเศร้าใจ / เรื่องสั้น : กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น

กิตติศักดิ์ คงคา

 

เครื่องรางสำหรับปัดเป่าความเศร้าใจ

 

แม่เรียกที่แขวนพู่หน้าตาประหลาดว่า เครื่องรางสำหรับปัดเป่าความเศร้าใจ

ทำจากไม้ซี่ขนาดเล็ก เอามาดัดเป็นวงกลมโปร่ง ใช้ไหมพรมขนาดเล็กสานเป็นเหมือนตะข่าย ตรงปลายแขวนไว้ด้วยพู่ยาว ขนนก และกระดิ่งจิ๋ว กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง เสียงลูกตุ้มตีด้านในจะร้องกังวานทุกครั้งที่ลมผ่านบานหน้าต่างเข้ามา แม่สอนให้ผมเปิดรับลมไว้ในยามดึก นั่นทำให้เครื่องรางของแม่ออกเริงร่าเล่นลมทุกครั้ง โดยเฉพาะยามหัวค่ำที่ลมมักจะเร้ามาแรงเป็นพิเศษ ค่ำที่พ่อแม่มักไม่อยู่บ้าน ทิ้งผมให้ต้องอยู่กับอิฐหินปูนทรายที่ว่างเปล่าเพียงคนเดียว

พ่อกับแม่ของผมประกอบอาชีพเป็นเซลส์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า สั่งสินค้ามาจากจีน แปะยี่ห้อที่พ่อคิดค้นขึ้นมาใหม่ ก่อนจะวิ่งตะลอนไปขายให้กับร้านยี่ปั๊วซาปั๊ว พ่อเล่าว่าไม่มีใครซื้อพัดลมยี่ห้อไม่ดังไปขายหรอก ถ้าไม่นั่งตื๊อจนเจ้าของแต่ละร้านเห็นใจ ชีวิตของผมในวัยเด็กจึงเติบโตมากับบ้านที่มีแต่ผมแค่คนเดียว ตอนเด็กๆ พ่อจะจ้างน้าสาวที่บ้านอยู่ไม่ห่างกันให้มานอนเป็นเพื่อน

แต่พอขึ้นมัธยม พ่อก็บอกว่าลูกผู้ชายต้องอยู่บ้านคนเดียวได้แล้ว ผมไม่มีทางเลือก ยังจำได้ว่าคืนแรกที่นอนคนเดียว ผมเห็นผู้หญิงผมยาวมายืนอยู่นอกหน้าต่าง สะดุ้งตื่นมาร้องห่มร้องไห้ นอนไม่ได้ยันเช้า พอแดดเริ่มส่องผมก็เปิดบ้านวิ่งจ้าไปหาน้าสาวที่อยู่ถัดไปอีกซอย ให้โทร.หาแม่ แต่พ่อเป็นคนรับ พอผมเล่าเรื่อง พ่อก็หัวเราะลั่น แถมยังถามอีกว่าผู้หญิงคนนั้นได้บอกเลขอะไรผมไว้หรือเปล่า

ผมเองไม่รู้ว่าเครื่องรางของแม่ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน เพราะวันเดียวกันนั้นแม่ก็กลับมา ก้มหน้าก้มตาถักอุปกรณ์หน้าตาประหลาดให้ผมจนมืดค่ำ ก่อนจะนำมาแขวนไว้ที่ริมหน้าต่าง บอกว่าเอาไว้ใช้ดักจับความเศร้าใจ ผมเถียงแม่ไปว่าผมไม่ได้เศร้าใจ แต่ผมฝันร้าย แม่ยิ้มตอบ คืนนั้นผมรบเร้าพ่อแม่ขอไปนอนด้วยเท่าไหร่ทั้งสองก็ไม่ยอม

ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะเปิดไฟรอจนเช้า เพราะกลัวผู้หญิงคนนั้นจะมาหาผมอีก แต่เสียงกรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง ของแม่ก็เยียวยาผมไว้ได้อย่างประหลาด เมื่อไหร่ที่ผมจะคิดฟุ้งซ่านจินตนาการอะไรไปตามเวลาที่ตกย่ำมาตามคราว เสียงลูกกระดิ่งก็ร้องเรียกผมให้กลับมาสนใจเรื่องตรงหน้า สุดท้ายผมก็ปิดไฟ นอนหลับไปได้อีกครั้ง

และหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยฝันร้ายอีกเลย

 

เครื่องรางของแม่แขวนอยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างไม่มีวี่แววจะได้เกษียณอายุ จนกระทั่งผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ กลับบ้านแค่นานๆ ครั้ง รู้ตัวอีกทีหน้าต่างที่ห้องก็ว่างเปล่าเสียแล้ว แม่บอกว่าทิ้งไว้นานจะกินฝุ่นเสียเปล่าๆ แม่เลยเอาไปแขวนซ่อนไว้หลังรูปภาพครอบครัวที่ห้องรับแขก หากจะแขวนก็ให้ไปหยิบมา แต่สุดท้ายผมก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ผมโตเกินกว่าจะต้องอาศัยเครื่องป้องกันภัยในยามหลับฝันอีก นานเท่าหนึ่งผมก็หลงลืมเพื่อนเก่าไป หากว่าใครสักคนจะหลงลืมใครอีกคนในชีวิตได้ อย่างที่พ่อของผมเริ่มหลงลืมทุกอย่างไปในวัย 75 ปี

[กลับมาบ้านเถอะเผิง น้าว่าอยู่กรุงเทพฯ ไปตอนนี้ก็สู้ค่าครองชีพไม่ไหว กลับมาตั้งหลักที่บ้านเราก่อนดีกว่า]

น้าสาวของผมโทร.มาในค่ำวันหนึ่งของปี 2021 ผมเพิ่งทำงานชิ้นล่าสุดเสร็จไปเมื่อสองสามวันก่อน กว่าจะได้ค่าแรงก็คงอีกสักพัก ส่วนงานใหม่จะมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โรคระบาดทำเอาสตูดิโอล้มตายกันเป็นว่าเล่น ผมรับอาชีพพากย์เสียงให้กับการ์ตูนญี่ปุ่นที่ถูกซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาฉายในประเทศไทย โชคดีว่าโดนไม่หนักเท่าหนังโรง แต่ก็ดีกว่าอาการร่อแร่ไม่มากนัก การ์ตูนจำนวนมากเปลี่ยนแผนไปใส่แค่คำบรรยายภาษาไทยแทน เพราะการอัดเสียงจากสตูดิโอนอกคุมคุณภาพได้ยาก สตูดิโอของบริษัทที่ใช้ประจำก็ปิดตามนโยบายลดการระบาด

“แต่งานผมต้องทำในสตูนะครับน้า ถ้ากลับบ้านผมก็หมดรายได้เลย”

ผมพูดพร้อมหันไปมองกองบทการ์ตูนที่กองอยู่มุมหนึ่ง ทุกเรื่องที่ผมได้พากย์ ผมจะพิมพ์บทและเย็บเล่มเก็บไว้อย่างดี ไม่มีใครเขาทำกันหรอก หากไม่นับผม การ์ตูนเหล่านี้อยู่เป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่เด็ก สมัยผมต้องนอนอยู่บ้านคนเดียว ผมอยากทำอาชีพนี้มาตั้งแต่จำความได้ กว่าจะฝ่าฟันเข้ามาหาเลี้ยงชีพด้วยวงการที่ต้องการคนน้อยเหลือทนนี่ก็เหนื่อยแสนสาหัส ผมไม่อยากสูญเสียความฝันไป

[กลับมาช่วยน้าดูร้านก่อนไปพลางๆ ก็ได้เผิง เดี๋ยวน้าให้ค่าแรง ไว้สถานการณ์ดีๆ ค่อยว่ากันใหม่ เผิงตัดต่อรูปสวยนี่ มาช่วยน้าทำรูปโปรโมตลงเพจก็ได้ ดูพวกออนไลน์ให้น้า]

“แต่…” ผมไม่อยากเป็นแอดมินเพจร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้านี่ครับน้า

ผมเงียบ พูดอย่างที่นึก แต่แค่ในใจ ทิ้งบทสนทนาชวนอึดอัดและว่างเปล่าไว้ระหว่างสายสื่อสารที่ห่างไกล ในใจของผมเหมือนโดนบีบอัดด้วยอะไรบางอย่าง การกลับบ้านสำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่ใช่สำหรับผม ไม่รู้ว่าอีกครั้งที่กลับมาที่นี่ ผมจะยังเหลืองานให้ทำไหม โลกของสื่อหมุนไปทุกวินาที และหลายครั้งก็ไม่ได้พาคนทำงานติดตามไปด้วยกัน

[น้าอยากให้เผิงมาช่วยดูแม่ด้วย] ปลายสายพูดต่อหลังจากทิ้งความเงียบไว้นาน [น้ากลัวว่าแม่เผิงจะเป็นอย่างพ่อ] เสียงถอนลมหายใจของผู้เป็นญาติเหมือนวัตถุหนาหนักที่กดทับลงบนบ่า

“แม่ความจำเสื่อมเหรอครับ”

ผมกลั้นใจถาม ภาพช่วงชีวิตสุดท้ายของพ่อฉายมาประทับในความทรงจำอีกครั้ง ในห้วงลมหายใจท้ายๆ ของพ่อ พ่อไม่เหลืออะไรเลย คาบเวลาที่ว่างเปล่านั่นน่าหวาดผวาจนผมไม่อยากจำ พ่อลืมทุกอย่าง ลืมวิธีอาบน้ำ วิธีใส่เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งวิธีกลืนอาหาร แม่ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับความทรงจำของพ่อ แต่แม่เป็นทุกอย่างของพ่อในคราวนั้น แบกรับไว้ไม่ให้มีแม้ใครต้องร่วงหล่น จนกระทั่งพ่อตาย ผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรแม่สักอย่าง ยกเว้นเรื่องเงิน

[น้าก็ไม่มั่นใจหรอกเผิง] เสียงนั่นอึดอัดจนผมเริ่มมั่นใจ [น้าว่าอาการแม่เผิงแปลกๆ น้าแวะเอาข้าวของไปให้ก็ไม่ทัก ไม่พูดจาด้วย เหมือนคนไม่รู้จัก กับญาติพี่น้องคนอื่นก็เป็น วันๆ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้เอน ยังดีว่ากินข้าวได้ดูแลตัวเองได้ตามปรกติ แต่ไม่รู้สิ น้ารู้สึกเหมือนแม่เผิงลืมทุกคนรอบตัวไปหมดแล้ว]

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกผ้าขนหนูแช่น้ำเย็นเฉียบมาห่อไว้ มันหนาวเหน็บและโหวงหวิวเหมือนไม่เหลืออะไรอยู่ในอก ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง เหมือนความเจ็บจะร้องอุทธรณ์ขึ้นด้วยเสียงอ่อนเบา

[ถ้าหมดล็อกดาวน์เมื่อไหร่ น้าก็ว่าจะชวนเผิงพาแม่ไปหาหมอด้วยกัน วันก่อนน้าโทร.ไปถามหมอที่เคยรักษาพ่อเผิง เขาบอกว่าอาการแบบนี้มีโอกาสจะเป็นอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้นได้ แต่ถ้าจะให้ชัวร์ต้องพาไปตรวจที่โรงพยาบาล]

อยู่ดีๆ ผมก็ยิ้มขึ้นมาให้กับชะตาชีวิตที่เหมือนถูกลิขิตไว้แล้ว สายตาหันไปมองรอบห้องเช่าขนาดเล็กพอซุกหัวนอน สมบัติรักอย่างเดียวคือบรรดาหนังสือการ์ตูนที่อัดแน่นอยู่เต็มตู้ ความหวังสุดท้ายที่เยียวยาไว้ไม่ให้ผมแหลกสลายในเมืองหลวงไปเสียก่อน

[กลับบ้านเถอะเผิง]

“ครับน้า”

ผมจะกลับไป

 

แม่ลืมผมไปจนหมดจดสิ้นแล้ว

ในวันแรกที่ผมหอบข้าวของทุกอย่างจากกรุงเทพฯ ไปถึงบ้านหลังเก่า ไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้ ผมต้องไขกุญแจเข้าไปเพื่อที่จะพบกับแม่ของตัวเองที่นั่งอยู่กับความเงียบ ในโลกแสนสงบ ว่างเปล่า และเข้าไม่ถึง ดวงตาของแม่เหมือนกำลังมองผ่านรอยพลิ้วผ้าม่านออกไปยังจักรวาลที่ผมไม่อาจติดตามไปได้ ผมกระซิบเรียกแม่ ไม่มีเสียงตอบ ไม่แม้แต่จะหันใบหน้ามาตามเสียงเรียก ภาพของแม่ซ้อนทับกับพ่อสนิท ตัวผมหล่นหายไปจากชีวิตแม่อย่างสมบูรณ์

อย่างที่ผู้เป็นน้าของผมเล่า แม่มีชีวิตตามปรกติ ดูแลตัวเองได้ปรกติ เหมือนแม่ในยามปรกติทุกประการ กระฉับกระเฉง เดินไปเดินมาในบ้าน ทำทุกอย่างเป็นกิจวัตร ดั่งเครื่องจักรกล ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัว เดินไปหยิบอาหารที่แม่บ้านของน้ามาแขวนฝากไว้ให้ที่หน้าบ้าน กินและล้างจาน และมีชีวิตเหมือนตุ๊กตาไขลานที่ไร้สำนึก เวลาเกือบทั้งวันของแม่อุทิศให้กับการพิจารณาผ้าม่านไหวและการไกวเอนของเก้าอี้ ในขณะที่ผมกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านของตนเอง

เหมือนผมกับแม่ใช้ชีวิตกันอยู่คนละห้วงเวลาโดยมีคนเอาภาพมาวางทาบทับกันเฉยๆ ผมพยายามทักแม่ในวันแรก และวันแรกๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งผมก็สิ้นพยายาม ใช้ชีวิตไปตามปรกติตามกิจวัตรที่ผมมี ผมไม่ได้ช่วยแม่ทำอะไรสักอย่าง เราต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างกิน ผมไม่กล้ายื่นมือเข้าไปขัดในพลวัตที่แม่เคลื่อนหมุนไปแต่ละวัน แม่เหมือนฟันเฟืองเครื่องจักรอันไร้ชีวิต ผมกลัวว่าการสอดมือเข้าไปจะกลายเป็นการทำทุกอย่างให้พังครืนลงมาต่อหน้า หลายครั้งผมลากเบาะตัวเล็กๆ มานั่งบนพื้นข้างๆ แม่ จับจ้องสายตาไปยังโลกตรงหน้าที่ว่างเปล่า สงสัยจนเลิกสงสัยว่าแม่กำลังคิดอะไร

[เผิง มึงได้เช็คงานงวดล่าสุดยังวะ]

ผมรับสายโทรศัพท์จากรุ่นพี่นักพากย์ที่ทำงานอยู่ทีมเดียวกันบ่อยๆ แม่ก็นั่งอยู่ด้วย แต่ก็คงไม่ต่างอะไร เก้าอี้ของแม่ยังเคลื่อนไปด้วยความถี่เท่าเดิม

“ยังเลยพี่ พอดีผมกลับบ้านต่างจังหวัด เช็คน่าจะไปติดอยู่ที่หอเก่า แต่ฝากเจ้าของหอส่งต่อมาให้แล้ว มีอะไรเปล่าพี่”

ผมหันไปมองปฏิทิน วันสุดท้ายของปี 2021 แล้ว ปรกติเช็คสั่งจ่ายค่าแรงจะมาฉิวเฉียดกับช่วงเวลาสิ้นเดือนพอดี

[มีจดหมายแนบมากับเช็คด้วย] ลางของผมไม่สู้ดี [สตูเราปิดถาวรแล้วนะเผิง ค่ายตัดสินใจเลิกพากย์ไทยแล้ว หันมาทำแค่คำบรรยายภาษาไทยอย่างเดียว]

ผมได้ยินเสียงสะอื้น ถ้าไม่ได้มาจากปลายสายก็มาจากเบื้องลึกหัวใจของผมเอง ความรู้สึกมันเหมือนกับตอนที่รู้ว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ข้างในมันแหลกสลายไปหมด แตกหล่นเป็นเศษชิ้น น้ำตาของผมไหลออกมาเงียบๆ พยายามจะไม่ฟูมฟาย ไม่อยากให้ปลายสายได้ยิน แต่ก็ร้าวรานแหลกเกินอธิบายได้ ผมเห็นความฝันของผมหลุดลอยไป ไม่สิ ใช้คำว่าระเหิดหายไปน่าจะดีกว่า เพราะมันแปรสภาพจนกลายเป็นไม่มีอยู่เลย

[พี่ว่าจะไปทำหมูทอดขายว่ะ] เสียงที่ยังสั่นพูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง [ข้างบ้านพี่ขายหมูทอดเจียงฮายเดลิเวอรี่ ขายดีฉิบหาย พี่ว่าจะลองมั่ง แต่ยังไม่ได้เลือกจังหวัด]

ผมยิ้ม เป็นยิ้มที่อธิบายความรู้สึกไม่ถูก มันเป็นมวลกลุ่มก้อนอะไรสักอย่างที่ลอยคว้างอยู่ในอก จะสำรอกออกมาก็ได้ แต่ก็กลืนลงไปก็ลำบาก เป็นพิพักพิพ่วนตะขิดตะขวงทรมาน ชั่วราวคราวหนึ่งผมก็ขออนุญาตวางสาย

นี่อาจจะเป็นคืนข้ามปีที่โหดร้ายที่สุดที่ผมรู้จักมา

 

“ผมตกงานแหละแม่”

ผมพูดกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจพูดกับบุพการีที่นั่งอยู่ตรงข้างจริงๆ แต่ด้วยอะไรสักอย่างไม่รู้ที่ดลให้ผมตัดสินใจเล่าให้แม่ฟัง ผมรู้อยู่เต็มอกว่าแม่ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะรับฟังใครได้ หรือหากจะพูดให้ชัด ผมยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พูดนี่เข้าไปอยู่ในการรับรู้ของแม่หรือเปล่า แต่ผมก็อยากเล่าความเศร้าใจนี่ให้ใครสักคนฟัง และตอนนี้ผมไม่เหลือใคร

“ผมตกงานแล้วแม่” ผมย้ำอีกครั้ง “สตูดิโอสุดท้ายที่ยังป้อนงานให้ผมปิดแล้ว คงจะฝืนกระแสไม่ไหว เผิงผิดเองแหละแม่ที่ฝันอยากทำอาชีพอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่มีใครอยากทำกันแล้ว รายได้ก็ไม่มั่นคง ชีวิตก็ลุ่มๆ ดอนๆ เงินเก็บก็ไม่มี พอจะเริ่มมีงานเข้ามาเยอะขึ้น บริษัทก็ปิด”

ผมพยายามฝืนก้อนสะอื้นที่อัดแน่นอยู่ในอกเข้าไป แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จนัก เสียงของผมเหมือนจะขาดเป็นห้วงๆ ตกเป็นคำคำ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ผมไม่สนใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่รับรู้อะไรตรงหน้านี่อยู่แล้ว

“เผิงสู้ทุกอย่าง ทำทุกอย่างเพื่อจะได้พากย์การ์ตูน เผิงผิดเหรอแม่ที่เผิงฝันอะไรลมๆ แล้งๆ แบบนี้ แม่รู้ไหมว่าปีแรกเผิงแทบไม่ได้ค่าพากย์เลย ไปขอเขาพากย์เป็นตัวประกอบที่ปรกติเขาจะใช้เสียงคนพากย์ซ้ำ เผิงก็ไปขอลอง ขอฝึก เผิงประหยัดแทบตายกว่าจะผ่านไปแต่ละเดือน รู้ไหมแม่”

ผมอ่อนแอจนนึกเกลียดตัวเอง ร้องไห้และพูดออกมาแทบไม่เป็นคำ

“แม่รู้ไหมว่าเงินที่เผิงส่งให้พ่อกับแม่อะ บางเดือนเผิงก็ไปยืมเขามา มีเวลาว่างเผิงก็ทำงานตัดต่อรูป ทำก็ไม่สวย บางชิ้นทำไปลูกค้าก็ไม่ซื้อ” ผมพยายามกลั้นน้ำตา แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะยากยิ่งไปกว่าเก่า “แต่เผิงอยากเป็นนักพากย์การ์ตูน เผิงทำทุกอย่าง ยอมทุกอย่าง เพื่อนเผิงมีเงินกันไปเท่าไหร่ๆ แล้ว แต่เผิงไม่มีอะไรเลย”

ผมหันไปมองโลกนอกหน้าต่างที่เย็นย่ำลงทุกทีแล้วก็ได้แต่นึกเสียใจ ชีวิตของผมใกล้ถึงเวลาอัสดงแล้ว คนอายุ 45 ปีที่ไม่มีประสบการณ์อะไรตรงสายตรงทางใครเขาจะจ้าง ผมพยายามยื้อเวลามาโดยตลอด ปลอบใจตัวเองว่าขออีกปี ขออีกปี แต่ทุกอย่างก็พังหมด ไม่เหลืออะไรเลย เดือนหน้าเดือนต่อไปจะหาอะไรมายาท้องก็ไม่รู้

“นี่คือสิ่งที่เผิงควรได้รับเหรอแม่ ถ้าเผิงรู้ว่าทำตามความฝันแล้วมันจะเหนื่อยขนาดนี้ เผิงสู้ยอมแพ้ตั้งแต่ต้นดีกว่า”

ผมฟุบหน้าลงกับที่วางแขนของเก้าอี้เอนอย่างหมดใจ อยากจะหนีแม้กระทั่งหน้าแม่ที่คงไม่ได้หันมามองผมแม้แต่น้อย น้ำตามันเอ่อท่วมไปหมด ล้นจนมองไม่เห็นอะไร น้ำมูกน้ำตาผมไหลท่วมไม่หยุด มากเท่าไหร่ก็ไม่พอ เหมือนความอัดอั้นตันใจได้ถึงเวลาระเบิดมาก็วันนี้

ผมรู้สึกถึงความอ่อนเบาบางอย่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามือของแม่มาลูบปลอบเอาไว้ตรงศีรษะ นวลนุ่มเบา สม่ำเสมอ ราวกับผมเป็นลูกหมาสะบักสะบอมตัวหนึ่งที่พลัดหลงทางมาอยู่หน้าบ้าน แม่ผมก็ยื่นมือลอดซี่กรงรั้วออกไป ลูบปลอบ ความเปลี่ยนแปลงของแม่ยิ่งทำให้ผมอ่อนแอลงไปกว่าเก่า ผมคิดถึงแม่ คิดถึงแม่ตอนที่แม่ถักเครื่องรางปัดเป่าความทุกข์ใจให้

ผมลุกขึ้นมาสวมกอดแม่อย่างลูกที่แสนเอาแต่ใจคนหนึ่ง

ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ดูแลพ่ออย่างใกล้ชิดมากนักในยามก่อนสิ้นใจ แต่สิ่งหนึ่งที่หมอกำชับไว้โดยตลอดคือการเว้นระยะห่างนั้นแสนสำคัญ ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมอาจจะไม่เหลือความทรงจำเรื่องเราแม้แต่น้อย นั่นหมายถึงการสัมผัสแบบสามัญธรรมดาอาจมีค่าเท่ากับการคุกคามจากคนแปลกหน้า แต่ผมอ่อนแอเกินไป อ่อนแอเกินกว่าจะหักห้ามใจไม่หลอกตัวเองว่ายังมีแม่อยู่เคียงข้างได้ ผมสวมกอดแม่เข้าเต็มรัก แม่ไม่ได้สะบัดหนี แต่ใช้มือลูบหลังผมเบาๆ

ผมคงเป็นหมาโง่สกปรกตัวหนึ่งที่พลัดผ่านมา แม่จึงอุ้มมากอด เช็ดน้ำตา และอยู่เป็นเพื่อนในคืนข้ามปีที่น่าหวาดกลัว

เช้าปีใหม่ปลอดโปร่งอย่างประหลาด

ทั้งๆ ที่เมื่อคืนวานผมพบผ่านความทุกข์ที่สุดแสนสาหัสจนนึกว่าจะตายเสียกลางทางให้ได้ แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีฝันร้ายมาแผ้วพาน ผมหลับสนิท เหมือนดำดิ่งไปในโลกหลับแล้วก็หล่นหายไปจากความเศร้าใจทั้งปวง ผมลืมตาให้กับวันใหม่พร้อมรอยยิ้มที่ทั้งเหยียดและขบขัน ต่อให้เมื่อวานหนักหนาแค่ไหน แต่ถ้าไม่ตาย เช้าวันใหม่ก็จะยังมาหาเราอยู่ดี

กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง

เสียงกระดิ่งร้องดังในจังหวะที่ผมยันกายลุกขึ้น ตอนแรกผมนึกว่าหูฝาด แต่เมื่อกวาดสายตาไปยังต้นทางก็เห็นเครื่องรางอันเก่าถูกแขวนปัดเป่าความเศร้าใจไว้ริมหน้าต่างบานเดิมที่เป็นทางผ่านของผีร้าย ฝันร้าย และเรื่องราวเลวร้ายตลอดมา ผมนึกทบทวนซ้ำกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เห็นข้อเท็จจริงใดอื่น เรื่องที่เก็บเครื่องรางสมัยเด็กนี่มีแต่ผม แม่ และพ่อที่รู้ ในเมื่อพ่อไม่อยู่ก็เหลือแค่ผมกับแม่แค่สองคน

แต่ผมไม่ใช่คนหยิบมา อันที่จริงคือผมแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่กลับบ้านมาครั้งนี้ก็ไม่เคยแม้แต่จะพลิกกรอบภาพถ่ายหันมาดูว่ามันยังอยู่ดีหรือเปล่า เหลือแต่แม่ แม่เพียงคนเดียวที่จำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผมที่ร้อนรนใจถึงขีดสุดคว้าเอาเครื่องแขวนนั่นมา ตรงออกจากห้องไปที่เก้าอี้ตัวเดิม แม่ยังนั่งอยู่ไม่ไปไหน มองลอดผืนผ้าออกไปยังโลกกว้าง

“ตกลงแม่ไม่ได้ความจำเสื่อมเหรอ” ผมถามพร้อมชูหลักฐานไว้ในมือ “แม่จำเผิงได้หรือเปล่า เผิงไงแม่ นี่เผิงลูกแม่ไง”

ผมพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ ตอบไม่ถูกว่าอารมณ์ที่อัดลึกอยู่ข้างในเป็นแบบไหน ดีใจ เสียใจ ปีติใจ หรือผิดหวัง ทุกอย่างสับสนอลหม่านตวัดกวัดเกี่ยวกันเป็นก้อนอยู่ข้างใน มัวขุ่น คลุ้งตะกอน สาดซัดสลับไปมาในห้วงอารมณ์จนแยกไม่ได้ ผมถามแม่หลายต่อหลายครั้ง แม่ไม่ตอบ หากแต่หันมามองผมชั่วครู่ ก่อนจะเบือนหน้าไปยังทางลมที่พัดเข้ามาดังเดิม

กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง

เสียงเครื่องรางเบาอ่อนดังร้องเรียกความสนใจขึ้นมาอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ความรู้สึกของผมเริ่มหยุดนิ่ง ตกตะกอนลงสู่เบื้องล่าง ในขณะที่กระดิ่งประดับเครื่องรางก็ยังระเริงเล่นไม่รู้หยุด ผมจะขยับปากพูดอะไรออกไป แต่เหมือนมันก็ขัดเอาไว้ด้วยเสียง เรียกร้องความสนใจให้หยุด เครื่องรางนั่นย้ำเตือนให้ผมกลับมาจดจ่ออยู่ที่สิ่งตรงหน้า ไม่มากและไม่น้อยไปกว่าสิ่งที่อยู่ห่างออกไปแค่เอื้อมมือ ทันใดนั่นผมก็เหมือนได้รับการอนุญาตให้ปลดปล่อยออกจากพันธนาการประหลาด ทั้งอดีตและอนาคต ไม่เหลืออะไรเลย

เหลือแค่เรื่องราวตรงหน้าแค่อย่างเดียว

 

“เครื่องรางของแม่นี่ปัดเป่าความเศร้าใจได้จริงเหรอ ผมเห็นมันก็เป็นแค่กิ่งไม้ ไหมพรม กับขนนก ไม่ใช่ของขลังของศักดิ์สิทธิ์อะไรสักหน่อย ผมว่าแม่ไปหาพระมาแขวนไว้แทนดีกว่ามั้ง เพื่อนผมที่โรงเรียนก็ห้อยพระกัน”

“ใช้ได้สิ ใช้ได้ดีมากด้วย ลูกได้ยินเสียงกระดิ่งที่มันคอยร้องดังตอนลมเข้ามาตีไหม นั่นแหละคือชีวิต เมื่อไหร่ที่มีลมร้ายพัดผ่านเข้ามา ลูกก็อย่าเอาแต่ฟุ้งลอยไปที่ไหน แต่ให้กลับมาอยู่ที่นี่ มองให้เห็นความจริงในปัจจุบันนะลูก และไม่นานฝันร้ายก็จะผ่านไปเอง”

 

ผมเอาเครื่องรางของแม่มาแขวนไว้ที่หน้าต่างที่เรานั่งดูด้วยกันทุกวัน

ปี 2022 เคลื่อนผ่านเข้ามาแล้ว แม้จะไม่ได้พิสมัยเท่าที่คาดหวังนัก แต่ทุกครั้งที่ใจของผมจะนึกไปถึงอดีตที่น่าผิดหวังหรืออนาคตที่น่าหวาดกลัว เครื่องรางนั่นก็จะร้องดังขึ้นอีก ผมกลับมาอยู่ที่นี่ อยู่กับปัจจุบัน มองสายลมพัดอ่อนที่ล่องลอยเข้ามาวันต่อวัน บางคราวบางครั้ง ผมก็จะหยิบบทการ์ตูนที่ติดมือกลับมาจากกรุงเทพฯ มาพากย์ให้แม่ฟังด้วย แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนถูกชุบชูไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่จะไม่จากผมไป ลมยังพัดลอยเข้ามาทางหน้าต่างทุกวันไม่แปรเปลี่ยน ส่วนผมก็เอาใจระลึกไว้ที่เครื่องรางสำหรับปัดเป่าความเศร้าใจไม่แปรเปลี่ยนเช่นกัน

กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง •