ศาสนา ในฐานะการทูตแบบ ซอฟต์เพาเวอร์/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

ศาสนา ในฐานะการทูตแบบ

ซอฟต์เพาเวอร์

 

วันวิสาขบูชาที่ผ่านมา ถือเป็นวันสำคัญของเหล่าพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ที่เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของเจ้าชายสิทธิทัตถะ ก่อนจะบรรลุกลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากเป็นวันที่รำลึกถึงหลักธรรมคำสอนแล้ว ยังเป็นวันที่ถูกใช้เพื่อสานสัมพันธ์ด้วยสายใยของศาสนาและวัฒนธรรมที่มีมาร่วมกัน

พุทธศาสนามีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกหลายจุด รวมถึงต้นกำเนิดของศาสนาอย่างอนุทวีปอินเดีย ที่เป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาและรวบรวมนิกายต่างๆ ไว้อยู่ในพื้นที่ไม่ว่าภูฏาน เนปาลหรืออินเดีย ซึ่งในภาวะที่ประเทศเหล่านี้มีข้อพิพาทกัน แต่สายสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมยังคงกลมเกลียวกันอยู่เสมอ

อินเดียและเนปาลคือกรณีของศาสนาถูกใช้เพื่อสานสัมพันธ์และระงับความขัดแย้ง

 

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เดินทางพบผู้นำรัฐบาลเนปาล นายกรัฐมนตรี บาฮาดูร์ ดิวบ้า ที่ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ผู้นำทั้งสองถือเอาวันวิสาขบูชาเป็นโอกาสสร้างความสัมพันธ์อันดี และร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์ในการสร้างวิหาร ซึ่งอินเดียจะให้ความช่วยเหลือในการก่อสร้าง

โมดีตั้งใจแสดงสัญลักษณ์เชิงศาสนาโดยเลือกนั่งเฮลิคอปเตอร์จากสนามบินนานาชาติกุสินารา แคว้นอุตตรประเทศ ซึ่งเป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานก่อนพบกับดิวบ้าที่ลุมพินีวัน

ไม่เพียงเป็นการแสดงความศรัทธาในการรื้อฟื้นชีวิตและคำสอนของพระพุทธเจ้า โมดียังได้รวบรวมพระธาตุอันล้ำค่าของนักเทศน์ชื่อดังของอินเดียจำนวนมากและจัดแสดงอยู่ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรี และยังสั่งให้มีการบูรณะอนุสาวรีย์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพระศาสดา

รัฐบาลอินเดียวางนโยบาย Neighbor First โดยเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ซึ่งโมดีดำเนินนโยบายต่างประเทศนี้เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกและผลักดันให้ความสัมพันธ์กับเนปาลมีความเข้มแข็งมากขึ้น

แม้อินเดียมีความกังวลกับพรรคการเมืองชาตินิยมเนปาลที่มีจุดยืนต่อต้านอินเดียและคัดค้านแผนที่พรมแดนใหม่ และพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลกับกลุ่มเหมาอิสต์ในเนปาลที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลจีน

 

นอกจากการกระชับความสัมพันธ์กับเนปาลผ่านประวัติศาสตร์ร่วมกันของพุทธศาสนาแล้ว ก่อนหน้านี้ อินเดียได้แต่งตั้งนาวิน ศรีวาสตรา เป็นทูตอินเดียประจำเนปาลคนใหม่ ที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการสร้างความสัมพันธ์กับเนปาลและยังเป็นการส่งผู้มีประสบการณ์ด้านจีน มารับมือการขยายอิทธิพลของจีนในเนปาลด้วย

ก่อนจะมาประจำที่เนปาล นาวินมีประสบการณ์เป็นเอกอัครราชทูตประจำกัมพูชา ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ประจำนครเซี่ยงไฮ้ และนอกจากเป็นทูตแล้ว นาวินยังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกิจการภายนอกของอินเดีย และนั่งเป็นอธิบดีกรมเอเชียตะวันออกด้วย

และนาวินเคยมีบทบาทส่วนหนึ่งในการประชุมร่วมระดับผู้บัญชาการจีน-อินเดีย เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทดินแดนในแคว้นลาดัค ซึ่งเกิดการประทะกันระหว่างกองกำลังจีนและอินเดียบริเวณพรมแดนที่เกิดข้อพิพาทกัน เมื่อปี 2020

การเดินทางเยือนของโมดี เกิดขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนขั้วในภูมิรัฐศาสตร์จากการแข่งขันเชิงอิทธิพลระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐกับจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐสภาเนปาลลงมติรับรองการรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐเป็นจำนวน 500 ล้านดอลลาร์ผ่านหน่วยงาน millennium challenge corporation

หลังจากนั้นไม่นาน จีนได้ส่งหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนเดินทางไปกาฐมาณฑุทันที โดยในช่วงการเดินทางเยือนเนปาล หวัง อี้ ผลักดันโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางในเนปาล

แต่รัฐบาลเนปาลมีท่าทีว่าไม่กระตือรือร้นที่จะขอกู้เงินจากจีน

 

เดอเกสมาร์ ซิงห์ อดีตทูตเนปาลประจำอินเดีย กล่าวว่า การที่โมดีเลือกใช้ลุมพินีวันนั้นก็เพื่อแสดงความเกี่ยวพันทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งระหว่างอินเดียและเนปาล ถือเป็นการทูตแบบซอฟต์เพาเวอร์ที่โมดีเลือกใช้วิธีนี้ ซึ่งก็เป็นผลดีกับทั้งสองประเทศ

ซิงห์กล่าวด้วยว่า วัฒนธรรมทำให้ผู้คนใกล้ชิดกันมากขึ้น และการมาเยือนจะเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตสาธารณะและสังคม

เมื่อเราเข้าใกล้กันมากขึ้น ก็จะช่วยในการเรียบเรียงจัดวางปัญหาและความแตกต่างระหว่างสองประเทศได้ง่ายขึ้น