เชื่อรัฐประหาร-เชื่อลัทธิกินอึ/ชกคาดเชือก วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก

วงค์ ตาวัน

เชื่อรัฐประหาร-เชื่อลัทธิกินอึ

 

กลับมาเป็นกระแสถกเถียงกันในสังคมไทยอีกครั้ง ระหว่างต่อต้านรัฐประหารกับการยอมรับว่ารัฐประหารสามารถทำได้ ส่วนหนึ่งมาจากเวทีดีเบตผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. อีกส่วนเป็นช่วงบรรยากาศรำลึกเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และพฤษภา 99 ศพ 2553 ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับอำนาจทหาร และโดยเฉพาะเหตุนองเลือดปี 2535 นั้น เป็นการชุมนุมต่อต้านนายกฯ ที่สืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร

อันที่จริงการรัฐประหารหนล่าสุด คือ 22 พฤษภาคม 2557 นั้น เพิ่งผ่านมาเพียง 8 ปี คณะผู้นำรัฐประหารยังอยู่ในอำนาจจนถึงวันนี้ ประชาชนคนไทยยากลำบากด้านเศรษฐกิจมาตลอด กระทั่งวันนี้ปัญหาปากท้องรุนแรงอย่างมาก ทำให้เห็นได้ถึงผลพวงของการรัฐประหารอย่างชัดเจน

คนจำนวนมากจึงเข็ดขยาดกับคำว่ายึดอำนาจการปกครองของกองทัพอย่างยิ่ง

พอดิบพอดีกับในช่วงโค้งสุดท้ายของสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีการตั้งคำถามในเวทีโชว์วิสัยทัศน์ของผู้สมัคร ประเด็นจุดยืนและท่าทีหากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ต่อกรณีการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน และต่อการรัฐประหาร

ผู้สมัครแต่ละรายจึงต้องเปิดจุดยืนออกมา

แหลมคมที่สุดคือ สายก้าวหน้า อย่างนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคขวัญใจคนรุ่นใหม่ ประกาศใช้อำนาจผู้ว่าฯ ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ชุมนุมทางการเมือง และต่อต้านการรัฐประหารอย่างถึงไหนถึงกัน

ส่วนสายนกหวีด-กปปส.สุดขั้วอีกด้าน คือ นายสกลธี ภัททิยกุล ประกาศยอมรับว่า การรัฐประหารแม้เป็นวิธีการที่ผิด แต่อาจจำเป็นถ้าหากรัฐบาลนั้นชั่วช้าโกงกินบ้านเมือง

นำมาสู่ข้อวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว

 

ความจริงมีคนดังๆ จำนวนมาก ที่เคยเข้าร่วมชัตดาวน์ประเทศกับม็อบ กปปส. ออกมายอมรับความผิดพลาดในการตัดสินใจเข้าร่วมดังกล่าว พร้อมทั้งขอโทษประชาชน ที่ไปร่วมการชุมนุม ซึ่งลงเอยเป็นการเปิดทางให้เกิดรัฐประหาร ทำให้ประเทศต้องหยุดพัฒนา เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก

แต่ก็ยังมี กปปส.อีกจำนวนหนึ่ง ยังคงภาคภูมิใจในการต่อสู้ครั้งนั้นไม่แปรเปลี่ยน

แน่นอนว่า กปปส.ของแท้ คือ ชนชั้นสูงในสังคม คือผู้มีอันจะกิน ดังนั้น จึงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร กับการที่ได้ผู้นำกองทัพมาเป็นนายกฯ ยาวนานแล้วไม่มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ไม่มีความเจริญก้าวหน้า เพราะพวกนี้ไม่เดือดร้อนด้านปากท้อง และพอใจอย่างเดียวคือ ถ้าทักษิณกลับมาไม่ได้ ถ้าทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้

ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.หนนี้ กปปส.จึงออกมาชูพวกพ้องอย่างเต็มที่ด้วยความมั่นอกมั่นใจ พร้อมกับยอมรับอย่างเต็มปากว่า ที่ต่อสู้จนเกิดรัฐประหารนั้น เป็นความถูกต้อง!

 

มีการพูดถึงรัฐประหารกันมากอีกส่วนหนึ่ง เพราะเป็นช่วงบรรยากาศรำลึกเหตุการณ์นองเลือดพฤษภาทมิฬปี 2535 และพฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นสองเหตุการณ์ที่รัฐบาลใช้กำลังทหารออกมาสลายม็อบ ด้วยกระสุนจริง จนประชาชนล้มตายกลางเมืองเป็นจำนวนมาก

ยิ่งเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 นั้น เกี่ยวพันโดยตรงจากเหตุรัฐประหารโดย รสช. เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 เพื่อล้มรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ ผู้มาจากการเลือกตั้ง ด้วยข้ออ้างว่าจัดการรัฐบาลบุฟเฟ่ต์คาบิเนต งัดคาถาปราบนักการเมืองทุจริตโกงกินตามสูตรสำเร็จ แต่แท้จริงแล้วเหตุที่รัฐประหาร เพราะเกิดความหวาดระแวงระหว่างผู้นำกองทัพกับรัฐบาล เนื่องจากขัดแย้งกันหลายประการ

รัฐประหารปี 2534 แล้วต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2535 เกิดเหตุการณ์หัวหน้าพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง ไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้ ทำให้ผู้นำรัฐบาลจึงมาเป็นนายกฯ เอง จึงเกิดการต่อต้านไปทั่ว เพราะตระบัดสัตย์ และชัดเจนว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของผู้นำรัฐประหาร

ตอนที่ล้มรัฐบาลชาติชายนั้น ก็อ้างเหตุผลว่ากองทัพจำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขปัญหานักการเมืองโกงกิน แต่พอผู้นำกองทัพมาเป็นนายกฯ เสียเอง ก็ชัดเจนว่า เพื่อต้องการอำนาจนั่นเอง นำมาสู่การชุมนุมต่อต้านของประชาชน ก่อนจะถูกรัฐบาลทหารสั่งทหารออกมาปราบปราม ด้วยกระสุนจริง จนนองเลือดไปทั่ว เสียชีวิตไปจำนวนมาก สูญหายไปอีกจำนวนมาก

ผลจากการต่อสู้ของวีรชนพฤษภาคม 2535 ซึ่งต่อต้านนายกฯ จากกองทัพ จากนักรัฐประหาร เรียกร้องให้กำหนดที่มานายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้งเท่านั้น

จากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มา ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้ง เพื่อเป็นการปิดช่อง ไม่ให้กองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมืองได้อีก

จนกระทั่งเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แล้วได้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ลบล้างข้อกำหนดนี้ไป

เดิมทีจะเขียนในรัฐธรรมนูญยุค คสช. แบบเปิดกว้างนายกฯ มาจากไหนก็ได้ เหมือนย้อนกลับไปก่อนปี 2535 แต่พอโดนวิจารณ์หนักหน่วง ก็เขียนหลบเลี่ยงเป็น ให้ทุกพรรคกำหนดรายชื่อผู้จะเป็นนายกฯ เอาไว้ล่วงหน้า ก่อนการเลือกตั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.

นั่นเองทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐประหาร ได้เป็นนายกฯ ในยุครัฐบาล คสช. แล้วพอมีเลือกตั้งปี 2562 ก็ได้เป็นนายกฯ ต่อ ด้วยกติกาตามรัฐธรรมนูญที่เอื้ออำนวยให้

นี่คือผลพวงจากรัฐประหาร ทั้งยุค รสช.ที่นำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และรัฐประหาร คสช.ที่ได้รัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย

โดยรัฐประหารหนล่าสุด ทำให้ได้ผู้นำกองทัพมาเป็นนายกฯ ต่อเนื่องมา 8 ปี มีปัญหาวิสัยทัศน์ที่ไม่เท่าทันโลก ไม่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ เป็นยุคอนุรักษนิยมทางการเมือง ที่ฉุดให้ถอยหลังไปทุกด้าน

 

เมื่อไม่นานมานี้ สังคมไทยต้องตื่นตะลึงกับเหตุการณ์ทลายสำนักลัทธิประหลาด ให้สาวกกินฉี่ กินอึ ขี้ไคล น้ำเหลือง เพื่อรักษาโรคและเพื่อไปสวรรค์ โดยเจ้าสำนักเรียกตัวเองว่าพระบิดา ไว้หนวดเคราผมเผ้ารุงรังดูซกมก แต่ก็ยังมีคนเชื่อมีคนหลงตาม

ใครได้ยินข่าวก็แทบไม่เชื่อว่า ยังมีคนไทยหลงงมงายในความเชื่ออันน่าสะอิดสะเอียนได้ขนาดนี้อีกหรือ

แต่ก็เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นจริง ซึ่งยังไม่รู้ว่ายังมีสำนึกที่พิลึกพิลั่นแบบนี้หรือยิ่งกว่านี้อยู่อีกหรือไม่

เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ความพยายามของกลุ่มอำนาจที่หยุดสังคมไทยไม่ให้พัฒนาก้าวทันโลก ไม่เช่นนั้นเครือข่ายอนุรักษนิยมการเมืองจะกุมอำนาจต่อไปได้ยากนั้น ยังทำอย่างได้ผลอยู่

โดยเฉพาะในระดับพื้นฐานสุดคือการศึกษา ไม่ยอมพัฒนาให้เป็นการศึกษาแบบสอนเด็กให้คิดเป็น สอนให้มีเหตุผล สอนให้กล้าคิดต่าง กล้าถกเถียง

ยังพยายามรักษาการเรียนการสอนแบบท่องจำต่อไป ยึดในประเพณีต้องว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังผู้ใหญ่ ห้ามคิดห้ามเถียง กลายเป็นคนคิดไม่เป็นและเชื่ออะไรงมงาย

ดังนั้น เราจึงยังมีปรากฏการณ์สำนักพระบิดา ให้กินฉี่กินอึกินขี้ไคล ให้ได้ตื่นตะลึงกัน

ในทางการเมืองเราก็ยังมีคนเชื่อว่า กองทัพจำเป็นต้องแทรกแซงการเมือง การรัฐประหารยังจำเป็นต้องมีไว้เพื่อแก้ปัญหา โดยไม่มองว่า นี่แหละคือต้นเหตุให้การเมืองไทยไม่พัฒนา ประเทศชาติไม่เจริญก้าวหน้า

ถ้าไปดูประเทศที่เจริญก้าวหน้า เอาที่ใกล้ๆ คือ เกาหลีใต้ พอผลักทหารออกไปจากการเมืองสำเร็จ หยุดวงจรรัฐประหารในแดนโสมใต้ได้ เพียงแค่ 40 กว่าปีมาเท่านั้นเอง

จากนั้นเกาหลีใต้ก็พัฒนาไปทั่วทุกด้าน ทั้งประชาธิปไตยเสรี เศรษฐกิจก้าวหน้า เป็นยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องไฟฟ้า มีอุตสาหกรรมบันเทิงส่งออกทั่วโลก อุตสาหกรรมความงาม ไปจนถึงกีฬาที่ไปไกลระดับโลก ไปฟุตบอลโลก

ส่วนไทยเรา ถ้ายังเชื่อว่าทหารยังจำเป็นในการเมือง การรัฐประหารยังทำได้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่ลัทธิพระบิดาให้กินอาจมก็ยังมีอยู่ในสังคมไทย!!