โหมโรงศึก ‘ไม่ไว้วางใจ’ ฝ่ายค้านเปิดดีลพรรคเล็ก เขย่าขวัญรัฐบาลประยุทธ์ จับตาพลังกล้วย 5-30 ล้าน?/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

โหมโรงศึก ‘ไม่ไว้วางใจ’

ฝ่ายค้านเปิดดีลพรรคเล็ก

เขย่าขวัญรัฐบาลประยุทธ์

จับตาพลังกล้วย 5-30 ล้าน?

 

ร้อนแรงตั้งแต่ฉากโหมโรง สำหรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายก่อนหมดวาระของสภาและรัฐบาล

ศึกซักฟอกรอบนี้ฝ่ายค้านประกาศชัดถึงเป้าหมายต้องการโค่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงจากอำนาจ

ทำให้ฝ่ายค้านพร้อมเทหมดหน้าตักใส่เต็มพิกัด เพื่อชำแหละเปิดแผลทั้งแผลเก่าแผลใหม่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อปิดเกมทางการเมือง

แต่ก่อนจะก้าวไปถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลยังมีอีก 2 ด่านสำคัญที่ต้องผ่านให้ได้ก่อน

ทั้งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2566 และร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภา

เริ่มจากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2566 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาช่วงต้นเดือนมิถุนายน หากสะดุดหรือมีปัญหาจนทำให้ไม่ผ่านความเห็นชอบขึ้นมา

ทางเลือกของ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีแค่ 2 ทาง คือ ลาออก หรือยุบสภา

เช่นเดียวกับร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของสองสภา

หากไม่มีการเล่นเกมยื้อก็คาดว่าจะเข้าสู่วาระการประชุมได้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน

พรรคฝ่ายค้านต้องการให้กฎหมายลูก 2 ฉบับผ่านไปก่อน เพื่อป้องกันเดดล็อก หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองที่นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่แบบเฉียบพลัน

แต่สิ่งน่ากังวลมี 2 ประเด็นน่าจับตาและอาจทำให้กฎหมายลูก 2 ฉบับแท้งก่อน คือ สมาชิกรัฐสภาฝั่งรัฐบาลและ ส.ว.ร่วมมือกันคว่ำร่าง หรือนายกฯ ประกาศยุบสภาก่อนร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบ

“หากเป็นเช่นนั้นจะเกิดทางตัน หรือเดดล็อกทางการเมือง แต่จะมีประโยชน์ต่อรัฐบาลที่จะรักษาการได้ยาว หากรัฐบาลคิดอยู่ต่อโดยใช้วิธีเดดล็อก เป็นการคิดร้ายต่อประเทศอย่างมาก” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุ

ยิ่งตอนนี้เสถียรภาพภายในรัฐบาลอยู่ในภาวะสั่นคลอน เมื่อทั้งพรรคเล็กร่วมรัฐบาลและกลุ่ม ส.ส.รัฐบาลเดิมที่แตกขั้วออกมา ยิ่งทำให้สถานการณ์รัฐบาลน่าเป็นห่วง

แต่หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ผ่าน 2 ด่านสำคัญนี้ไปได้ โดยไม่ชิงยุบสภาก่อน

ฝ่ายค้านก็เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อทันทีช่วงปลายเดือนมิถุนายน เพื่อเปิดเขียงชำแหละรัฐบาลช่วงต้นเดือนกรกฎาคม

เป้าหมายลุยสับทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีรายบุคคล

 

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเจอมรสุมรุมเร้ารอบด้าน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ น้ำมันแพง สินค้าอาหารแพงทั้งแผ่นดิน การเมืองก็มีปัญหาเสถียรภาพภายในไม่เป็นเอกภาพมั่นคง

ยิ่งปรากฏภาพแกนนำฝ่ายค้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โผล่ร่วมวงโต๊ะกินข้าวกับกลุ่ม 16 ส.ส.ซีกรัฐบาล

ซึ่งเป็นฉากต่อเนื่องจากการที่กลุ่ม 16 ส.ส. นำโดยนายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ หัวหน้ากลุ่ม และสมาชิก ส.ส.จากพรรคเล็กจำนวนหนึ่ง

ผิดหวังจากการขอเข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพื่อรดน้ำขอพรเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา แต่กลับโดนเท หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ อ้างว่าติดประชุม

กลุ่ม ส.ส.พรรคเล็กจึงโผล่ร่วมวงโต๊ะอาหารกับแกนนำเพื่อไทย

จนเป็นที่มากระแสข่าวฝ่ายค้านพยายามเปิดดีลกับ ส.ส.พรรคเล็กร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคเศรษฐกิจไทยของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ส.ส.รัฐบาลอีกราว 30 คน

เพื่อขอเสียงสนับสนุนลงมติไม่ไว้วางใจในการอภิปรายนายกฯ และรัฐบาล ที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เผยถึงการพูดคุยกับกลุ่มพรรคเล็กว่า แกนนำสอบถามความพร้อมของพรรคเพื่อไทยในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงยืนยันมีความพร้อมมาก มีเรื่องใหญ่หลายเรื่อง

ทั้งการจัดซื้อเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เรื่องประมูลท่อส่งน้ำอีอีซี

“จากการพูดคุย พรรคเล็กระบุหากพรรคเพื่อไทยมีข้อมูลชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องท่อส่งน้ำอีอีซี เรื่องนี้จะเป็นจุดแตกหักกับรัฐบาลและยกมือไว้วางใจให้ไม่ได้ ทำให้มีความมั่นใจ การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ สามารถน็อกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้แน่”

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ยังเตรียมนัด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย มาร่วมวงรับประทานอาหารเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องบ้านเมือง

ด้านนายพิเชษฐ สถิรชวาล กล่าวถึงการพบปะแกนนำฝ่ายค้าน โดยปฏิเสธว่า ไม่ใช่การเรียกรับเงินดีลล้มรัฐบาล ส่วนการโหวตลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ข้อมูล

ถ้าฝ่ายค้านมีข้อมูลตรวจสอบรัฐบาลทุกเม็ด เท่ากับเป็นการช่วยเหลือประเทศ

 

“ตอนนี้ต้องพูดว่า มือที่มองไม่เห็นมันเยอะ สภายังไม่เปิดก็ยังไม่รู้ เดี๋ยวสภาเปิดก็จะรู้ ตอนนี้ทุกคนต่างซ่อนมีดไว้ข้างหลังตัวเองหมด จึงยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า วิเคราะห์ถึงเสียง ส.ส.ในสภาขณะนี้

ทั้งนี้ หลังมีสัญญาณว่าเสถียรภาพรัฐบาลกำลังง่อนแง่น จึงได้ปรากฏเรื่องราวของการต่อรองราคา ส.ส.ในสภาเพื่อล้มรัฐบาล แพร่สะพัดออกมา

“ผมสืบทราบมาว่ามีการต่อรองราคากันระหว่าง 5-30 ล้านบาทต่อคน เพื่อให้ ส.ส.จำนวนหนึ่งยกมือไม่ไว้วางใจ เพื่อล้มรัฐบาลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หรืออาจจะกระทำกันก่อนในการพิจารณาไม่ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดินของรัฐบาลก็เป็นได้” นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เปิดประเด็นผ่านการโพสต์ในเฟซบุ๊ก

ถึงแม้ข้อความไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าใครต่อรองกับใคร

แต่ที่ถูกเชื่อมโยงอย่างที่ไม่มีทางหลบเลี่ยงคือกลุ่ม ส.ส.พรรคเล็กร่วมรัฐบาล

ส่วนอีกฝ่ายร่วมต่อรอง มีความเป็นไปได้ตั้งแต่พรรคฝ่ายค้าน ไปจนถึงแกนนำนักการเมืองต้นตำรับแจกกล้วย ที่เปลี่ยนขั้วย้ายข้าง ได้จังหวะเขย่าเก้าอี้ พล.อ.ประยุทธ์ อีกรอบ

อีกข้อที่เป็นไปได้เช่นกันคือ อาจเป็นการสร้างข่าวของกลุ่มพรรคเล็กเพื่ออัพค่าตัว ในช่วงรัฐบาลกำลังตกที่นั่งลำบาก ฉวยจังหวะนาทีทอง ปั่นราคาต่อรองกับเครือข่ายผู้มีอำนาจ เพื่อโหวตต่ออายุรัฐบาล

ส่วนข้อสันนิษฐานว่า เป็นราคาต่อรองจากพรรคฝ่ายค้านนั้น อาจไร้น้ำหนักหรือมีความเป็นไปได้น้อย ด้วยเหตุผลที่ว่าผ่านมา 3 ปี เสียง ส.ส.ในสภาของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ขยับห่างกันมาก

ตัวเลข ส.ส.ในสภาตอนนี้ 475 เสียง แยกเป็นฝ่ายรัฐบาล 271 เสียง ฝ่ายค้าน 204 เสียง

หากฝ่ายค้านเลือกเดินเกมล้มรัฐบาล ด้วยเสียงเกินครึ่งสภา หรือ 238 เสียงในการศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตัวเลขต่อรองราคาเฉลี่ย 5 ถึง 30 ล้านต่อคน รวมแล้วอาจพุ่งสูงถึงหลัก 100 ล้าน

ถ้าเทียบกับเวลาของรัฐบาลที่เหลืออยู่ อย่างมากสุดหากอยู่ครบเทอมเดือนมีนาคม 2566 จากนี้ไปก็เหลือเพียงแค่ 10 เดือน

หรืออาจน้อยกว่านั้นมาก หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ผ่านด่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องวาระนายกฯ 8 ปี ที่จะครบในเดือนสิงหาคม หรืออีก 4 เดือนข้างหน้า

ตัวเลขต่อรอง 5 ถึง 30 ล้านบาท จึงไม่น่าใช่ทางเลือกที่คุ้มค่าของฝ่ายค้าน

ทางกลับกันในจังหวะเจียนอยู่เจียนไป การทำทุกอย่างเพื่อประคองสถานการณ์ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง

พลังกล้วยน่าจะถูกปล่อยออกมาจากฝ่ายรัฐบาลมากกว่า

 

“ผมมีประสบการณ์เรื่องนี้เยอะ อย่าลืมว่า 3-4 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นคนดีลเรื่องพวกนี้ ดังนั้น คิดว่ารู้ดีมากกว่าใคร มากกว่าคนที่พยายามเสนอตัวเป็นตัวกลางในการเคลียร์เรื่องนี้” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กล่าวถึงกรณีพรรคเล็กนัดกินข้าวพูดคุยกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.พรรคพลังประชารัฐ

ส่วนที่ถูกพาดพิงเรื่องกล้วย ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า “ผมว่ารัฐมนตรี…ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด”

ขณะที่นักการเมืองเก๋าเกม อย่างนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ มองสถานการณ์ความร้อนแรงทางการเมืองในขณะนี้ว่า

ถ้าพรรคเล็กไม่ออกมาพูด หรือมีบทบาทในช่วงปีสุดท้ายเพื่อทำให้มีราคา เขาก็ไม่มีราคา

ส่วนประเด็นค่าหัว ส.ส. 5-30 ล้านบาท คงไม่ใช่ การจะล้มรัฐบาลหรือล้มใคร 30 ล้านมากเกินไปกับเวลาของรัฐบาลที่เหลือไม่กี่เดือน จึงเป็นไปไม่ได้ โมเมไปเอง

“เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวเลขไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาของรัฐบาล จากวันนี้ไปถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือวันที่อาจจะมีปัญหาใดเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ก็เหลือไม่กี่เดือน จะจ่ายอะไรตั้ง 30 ล้าน”

อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวฝ่ายค้านเปิดดีลกับ ส.ส.พรรคเล็กร่วมรัฐบาลในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ เป็นประเด็นสร้างความหวั่นไหวและวิตกกังวลให้กลุ่มผู้มีอำนาจมากพอสมควร

โดยเฉพาะกับตัวนายกฯ ที่เคยประสบเหตุทำนองนี้มาแล้วในการโหวตญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งก่อนเดือนกันยายน 2564

เป็นเหตุการณ์จุดกำเนิดกบฏพลังประชารัฐ นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทยคนปัจจุบัน

เป็นความหวั่นไหวและวิตกกังวลว่า อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

อันนำมาสู่การประเมินของนายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ตอนหนึ่งว่า

“วันนี้ชัดเจนว่ารัฐบาลอ่อนแอลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งภายใน ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าขั้วของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะยกมือโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หรือไม่”

“ถ้าฝ่ายค้านทำให้การอภิปรายมีน้ำหนัก อาจทำให้เกิดสภาวะหมาตายเห็บกระโดด”

“บทสุดท้ายของหนังเรื่องนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ คงตายอย่างโดดเดี่ยว”