อนุสรณ์ ติปยานนท์ : 25 น. (3)

ย้อนอ่าน 25 น. ตอน   (1)   (2)

ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้ยาวสำหรับผู้โดยสารอีกครั้ง

ชายคนที่เอนกายหลับสนิทคนนั้นตื่นขึ้นแล้ว เขาขยี้เปลือกตาเบาๆ ก่อนจะหันมาถามผมว่า “ไประนองหรือคุณ?”

ผมส่ายหน้าแทนการปฏิเสธ “ว่าจะเข้ากรุงเทพฯ นะครับ คงลงแค่ชุมพร”

ชายคนนั้นมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างผนัง อีกชั่วโมง ไม่นานละ ผมรอมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ได้ไปงีบใหญ่ ค่อยยังชั่ว ขอโทษเถอะ มีบุหรี่ไหมคุณ?

แทนคำตอบ ผมมวนยาเส้นเป็นบุหรี่ให้เขาหนึ่งตัวพร้อมกับยื่นไฟแช็กให้

เขาจุดมันสูบและระบายควันยาว

“ไม่ได้กลับมาทางนี้เสียนาน รถยังคงน้อยเหมือนเดิม ไม่เหมือนแถบอีสานบ้านผม รถมีทั้งคืน ไม่มีก็โบกเอาได้ ทางมันถึงกันหมด”

ถึงตอนนี้ผมเพิ่งสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ใช่คนแถบนี้ มันเหน่อและขึ้นลงราวกับเสียงลมที่พัดถูกใบไม้อย่างเป็นจังหวะจะโคน

“มาจากอีสานหรือครับ?” ผมถาม

“ครับ มาจากสกลนคร น้ำเล่นเอาเสียหนัก ทำอะไรไม่ได้เลย นาล่มจมหาย เลยคิดว่าเผ่นกลับมาที่นี่ดีกว่า”

“คุณเคยอยู่แถวนี้มาก่อนหรือ?”

“งั้นแหละ อยู่ระนองที่จะไปนั่นแหละ รับจ้างทำสวนยางให้เขาอยู่หลายปีจนได้เมีย เล่าแล้วถ้าจะยาว ผมขอไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวมา อย่าหนีไปไหน อ้อ ลืมไป หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”

แทนการรอคำตอบ ชายคนนั้นที่ผมคำนวณอายุว่าน่าจะอยู่ราวสี่สิบปีต้นๆ เดินตรงไปยังก๊อกน้ำข้างสถานี

เขาเปิดน้ำแล้วใช้มันทำความสะอาดใบหน้าอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกลับมาที่นั่งแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า

“บุหรี่เปียกหมดเลย ขออีกตัวเถอะคุณ”

ครานี้เขาดูดมันรวดเดียวจนหมดก่อนทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นสถานีแล้วใช้ส้นเท้าเหยียบมัน

“ผมเผ่นออกจากบ้านตั้งแต่สิบห้า ไปๆ มาๆ อยู่แถวอีสาน จนเขาเรียกเกณฑ์ทหาร กลับไปว่าจะรายงานตัว แต่ดูท่าแล้วคงติดทหารแน่ๆ เลยเผ่นลงมาใต้ ตอนแรกไปทำงานในเรือแถวปากน้ำชุมพร ง่ายดี

ยุคนั้นบัตรเบิดไม่ต้องมี มีแต่แรงกับความอึดก็พอ แต่เก็บเงินไม่ได้เลย เงินไม่มาก ขึ้นฝั่งทีก็ใช้หมด

ลงเรือวนเวียนไปมา ดูแล้วน่าจะยาก พอจะหางานบนบกก็กลัวเขาจับ

แม่ค้าแถวปากน้ำคนหนึ่งบอกเขาต้องการคนงานสวนยางแถวระนอง ไม่เอาอะไรเลยขอแค่ความขยัน ไม่คิดอะไรมาก ก็มาเลย ตอนแรกว่าจะอยู่จนพ้นอายุความ พอได้เมียเลยอยู่ยาวเลย

สมัยก่อนยางไม่ได้ปลูกทั่วประเทศแบบนี้ เข้าระนองนี่มีแต่สวนยางทั้งนั้น ผมไปอยู่ที่กะเปอร์ ถิ่นคนแขก สบายเลย นานๆ เจ้าหน้าที่จะมาที มาก็หลบเข้าสวนยาง เช้ากรีดยาง เย็นก็ว่าง หาปลาจับปูไป รับจ้างมันทุกอย่าง เงินเก็บได้พอควร กะว่าสามสิบจะกลับบ้านละ

ไปหาเปิดอู่ เปิดร้านไป คิดถึงบ้าน อาหารแถวนี้อุดมสมบูรณ์จริงแต่ไม่ถูกปากเอาเลย ต้องว่าส้มตำแทบทุกวัน

มะละกอกี่ต้นในสวนผมล่อเสียหมด” เขาหัวเราะ “ทีนี้เจ้าของแกจะขยาย ไปได้ที่ใหม่อยู่ที่ละอุ่น

ผมย้ายไปที่นั่นก็ยังป่าเหมือนเดิม แต่ไปเจอสาวพม่า เขามาขายของที่ตลาดนัด เจอกันสองสามครั้งก็ชอบแล้ว เลยเอาเงินเก็บไปขอ นั่งเรือกลางดึกไปบ้านเขา ข้ามประเทศกันเลยคุณ พระจันทร์เต็มดวงคืนนั้น เหมือนหนังฉิบหาย”

ครานี้เขาเงียบ

“ก็ย้ายมาอยู่กันสักพัก เจ้าของทำบ้านพักให้หลัง ผมก็ต่อเติมทำนั่นนี่ เมียก็ไปๆ มาๆ มีความสุขดี อยู่กันอีกห้าปี จนเลยเวลาตั้งใจไปโข ตื่นมาวันหนึ่งก็กูกลับบ้านละ พอแล้ว ก็บอกเมียเก็บกระเป๋ากลับสกลฯ แรกๆ เมียก็อิดออด จนขู่ว่าอยู่อย่างนี้ไม่รวยหรอก กลับบ้านไปตายดาบหน้าดีกว่า ถึงยอมตามไป”

ผมจุดบุหรี่ตนเองขึ้นสูบบ้าง มีน้ำเปล่าเหลือในเป้สัมภาระหนึ่งขวด ผมเปิดฝาแล้วยื่นให้เขา เขาอัดมันพรวดเดียวครึ่งขวดก่อนจะคืนมาให้

“กลับไปก็ไปเปิดอู่จริงๆ แต่ก็ไปไม่รอด อ้อ ลืมเล่า ไปถึงบ้านพ่อตายไปแล้ว เหลือแต่แม่

พี่น้องก็ด่าว่าไอ้บักห่ามึงหายไปไหนมา จะแบ่งที่ทางก็หาตัวไม่เจอ มึงเอาไปเท่านี้แหละ ขี้เกียจทำเรื่องแล้ว

ก็ได้นามาไม่กี่ไร่

แรกๆ ก็ให้เขาเช่าทำ แต่มันไปไม่ไหว พอรัฐบาลทักษิณเอากล้ายางมาแจก เราคนเคยทำยางนี่ เล่นเสียเลย อดทนหลายปีกว่าจะได้กรีด พอใกล้จะได้กรีด เมียหายเสียนี่”

ครานี้เขาหัวเราะอีกครั้ง หัวเราะยาวนานกว่าครั้งใดๆ ผมเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง อีกราวครึ่งชั่วโมง รถโดยสารที่รอคอยน่าจะมาถึง ถ้ามันมาตรงเวลา

“ได้ตามไหม? เมียน่ะ” “ไม่นะสิ เขาบอกจะไปเยี่ยมบ้าน หลายปีไม่ได้กลับ เป็นห่วงบ้าน เราก็เข้าใจ เราก็คนทิ้งบ้านมาเหมือนกัน ให้เงินกับทองเส้นเล็กๆ อีกเส้นติดตัวไป

โทร.คุยกันครั้งสุดท้ายก่อนจะข้ามไปพม่า หลังจากนั้นโทร.ไม่ติดเลย

จะตามก็เป็นห่วงยาง เลยตัดสินใจกรีดยางเอาเงินเสียก่อน เดี๋ยวค่อยตาม

ไปๆ มาๆ พอได้เงินก็ซื้อนั่นนี่ เป็นหนี้มันทุกกองทุน ก็ไปไหนไม่ได้อีก จะไหว้วานใครไปตามก็ไม่ได้ พออยู่ตัวคนเดียวชินแล้วก็เลยเลิกคิดละครานี้ นั่งคาราโอเกะ เร่ร่อนไป มีเงินส่งหลาน ช่วยเหลือพี่น้อง”

“น่าจะลงตัวแล้วนะ” ผมว่า

“กลับมาอีกทำไมละครานี้”

“อย่างที่บอกละคุณ นามันล่มเจอฝนหนัก และไอ้หลายปีก่อนนี่เงินทองมันหายากจนน้ำตาเล็ด ยางก็ตก เลยตัดสินใจขายสวนยาง เอาเงินไปซื้อนาเพิ่ม กะว่าให้เขาเช่าทำ ดันล่มเสียอีก ก็เลยคิดลองมาหางาน ตามหาเมียเสียที มีเงินเก็บก้อนหนึ่งฝากทิ้งไว้ที่นั่น ยังมีแรงเผื่อได้เจอเมียอีกครั้งก็จะได้ถามว่าเอาไง กลับไหม ถ้าไม่เจอก็ถือว่าพักผ่อนสักหกเดือนหรือปี เบื่อ”

คำว่าเบื่อของเขามาพร้อมกับเสียงรถเข้าสถานี

“ไปกันคุณ คิดว่าจะถึงกรุงเทพฯ กี่โมงนี่”

“ไม่แน่ใจ” ผมตอบ “เมื่อไรก็เมื่อนั้นละ”

“ดี ผู้ชายไม่ต้องห่วงอะไรมาก มีครอบครัวหรือยังคุณ”

“ยังครับ”

“อืมม์ มีก็อย่าลืมมีลูกมีเต้าล่ะ ไอ้ผมมันพลาดไม่มีเอาเลย เวลาหายเลยหายดื้อๆ แบบนี้ ไม่มีลูก ไม่มีเต้า ลงกระไดมันก็เป็นคนอื่นละ คุณขึ้นก่อนเลย”

เขาบอกผมเมื่อประตูรถเปิด “ผมว่าจะหาที่นั่งลึกๆ จะหลับยาวถึงระนองเลย”

ผมเดินขึ้นไปบนรถ ที่นั่งว่างด้านหน้าหนึ่งที่นั้นเป็นที่นั่งกับพระภิกษุ

ผมยกมือไหว้ท่านก่อนเอาของติดตัวขึ้นไว้บนชั้นใต้หลังคารถ คนขับรถลงไปยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างล่างราวสิบนาที ก่อนจะขึ้นมาบนรถ เขาถามผมถึงจุดหมายปลายทาง “เกือบเช้าละคุณกว่ารถจะถึงสถานีชุมพร” ผมถามเขาว่าหลังจากนั้นจะมีรถต่อถึงกรุงเทพฯ ไหม “น่าจะมีรถตู้” เขาตอบช้าๆ

“วิ่งไปถึงประจวบฯ พอถึงประจวบฯ ก็เช้ามากแล้ว หารถไม่ยาก” ผมยื่นเงินค่าโดยสารให้คนขับก่อนจะหันไปมองชายคนนั้น เขาเดินไปที่เก้าอี้ยาวท้ายรถแล้วหลับลง

รถโดยสารเคลื่อนออกจากสถานี ไม่มีใครในที่นั้นอีกต่อไปแล้ว ผมขยับขาเตรียมตัวงีบหลับเช่นกัน

แต่แล้วพระภิกษุรูปนั้นก็เอ่ยว่า “ไปกรุงเทพฯ หรือคุณ”

ผมจัดร่างกายในท่วงท่าเรียบร้อย “ครับท่าน”

“อาตมาจะไปชุมพร เดี๋ยวปลุกให้ก็ได้ ลงที่เดียวกัน”

ผมยกมือไหว้ท่าน “ขอบคุณมากครับ หลวงพี่มีกิจนิมนต์หรือครับ”

“ไม่หรอก โยมแม่เสีย เขาโทร.มาบอกเอาตอนเย็น อาตมาจำวัดอยู่นอกเมืองนคร กว่าจะหารถมาได้ก็กินเวลา แถมในพรรษาเสียอีก แต่อย่างว่าชีวิตคนรู้ได้แต่วันเกิด ไม่รู้วันตายหรอก”

ดูเหมือนคืนนี้จะเป็นคืนแห่งการสนทนา ความตั้งใจที่จะงีบหลับของผมคงไม่สำเร็จเสียแล้ว

“หลวงพี่เป็นลูกคนเดียวไหมครับ”

“ไม่ใช่ ถ้าเป็นลูกคนเดียวคงบวชยาวได้ยาก อาตมาเป็นลูกคนสุดท้อง ตอนเกณฑ์ทหารไปบนว่าถ้าไม่ติดจะบวชทำกุศลสักหนึ่งพรรษา ไม่ติดจริงๆ ก็เลยบวชตามสัญญา ครานี้พออยู่ๆ ไปก็สบายใจดี ก็บวชต่อมาเรื่อยๆ แต่ก็นั่น ไม่นึกว่าจะต้องมางานแม่ทั้งในผ้าเหลืองแบบนี้ โยมเคยบวชหรือยังล่ะ”

“ยังครับ” ผมตอบท่านและคิดว่าคงไม่ต้องพึ่งการปลุกจากท่านแล้ว ชุมพรอยู่ไม่ไกลเกินบทสนทนานี่แน่

“ดี ก่อนบวช อาตมาวุ่นวายไปเสียทุกอย่าง พอได้มาห่มธงชัยของพระอรหันต์แล้ว รู้สึกชีวิตสงบขึ้นมาก โยมบวชแล้วคงเคยอ่านยอดนักรบของท่านพุทธทาสแล้วสิ ผ้าเหลืองนี่ของดีแท้ๆ กันเราออกไปได้จากทุกอย่าง สิ่งเสพติดนานา ของล่อใจต่างๆ จะบอกว่าหนังสือพุทธทาสทุกเล่มไปอ่านเถอะ ไม่ล้าสมัยเลย”

“หลวงพี่คงคิดจะบวชไม่สึกเป็นแน่ ใช่ไหมครับ”

“ไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น แต่คิดว่าห้าปีต่อไปน่าจะเอาอยู่ คิดทีละห้าปี ตั้งสัจจะไว้แบบนั้น จะนอนไหมจะได้ไม่กวน”

“ไม่ละครับ สนทนากันอย่างนี้ก็ดี ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสสนทนาเรื่องชีวิตเท่าใดนัก”

“นั่นแหละ ปัญหาคนรุ่นใหม่” หลวงพี่สำทับ “อยู่แต่กับโลกภายนอก โลกภายในของตัวเจ้าของกลับไม่ค่อยมีเวลาดูแล”

ว่าแล้วท่านก็ควานลงไปในย่ามที่วางอยู่บนตักแล้วหยิบนาฬิกาปลุกเรือนเล็กขึ้นมาดู “อาตมาชอบดูนาฬิกา ของชอบเลยก็ว่าได้ มีโอกาสก็ซื้อแจกคนนั้นคนนี้ อะไรในโลกที่คิดว่าหยุดไม่จริงหรอก เข็มนาฬิกายังไม่หยุดเดินเลย ใช่ไหม คิดอีกทีก็แปลก ทำไมเราทำเข็มนาฬิกาแค่สิบสองหลัก จริงๆ มันต้องเป็นร้อย เป็นพัน เป็นแสน ล้านโกฏิเข้าไปนั่น จบวันนี้ วันใหม่ก็มาถึง จบชีวิตนี้ ชีวิตหน้าก็มา โยมเชื่อเรื่องโลกหน้าไหม”

“ไม่แน่ใจ” ผมตอบ “มันดูนึกไม่ออกเลยครับ”

“ไม่ต้องนึก” ท่านกล่าว

“ของมันเห็นๆ กันอยู่ มีวันนี้ ก็มีวันหน้า มีโลกนี้ ก็ต้องมีโลกหน้า อาตมาชอบมิลินทปัญหามาก ข้างในนั้นเฉลยทุกอย่างที่มนุษย์สงสัยไว้หมดเลย…”

หลังจากนั้น เรื่องราวของพระเจ้ามิลินทและท่านนาคเสนก็หลั่งไหลมาจากท่านเรื่องแล้วเรื่องเล่า เรื่องราวของสังสารวัฏ เรื่องราวของอภิธรรม จากเรื่องหนึ่งสู่เรื่องหนึ่ง

จนรถโดยสารผ่านไชยามาได้สักพักใหญ่ ท่านก็จบเรื่องราวของท่านลง พระภิกษุรูปนั้นจำวัดแบบฉับพลัน ท่านหลับสนิทโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า

มีแต่ผมเพียงคนเดียวในที่นั่งนั้นที่จ้องมองไปยังความมืดนอกหน้าต่าง

รถมาถึงสถานีขนส่งชุมพรก่อนรุ่งสางจริงๆ

ผมปลุกท่านก่อนที่จะหันไปมองชายคนเดิม เขายังคงหลับสนิทอยู่ที่ท้ายรถ ได้แต่บอกลาเขาเงียบๆ ในใจ

อย่างน้อยเขาก็เป็นคู่สนทนาที่พาผมผ่านคืนอันยาวนานนี้ได้

พระภิกษุรูปนั้นโทรศัพท์บอกที่บ้านว่าท่านมาถึงแล้ว และอีกเพียงไม่ถึงสิบห้านาที รถปิกอัพคันหนึ่งก็นำพาท่านหายลับไป

ผมนั่งอยู่เพียงลำพัง จ้องมองนาฬิกาบนฝาผนัง ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงท้องฟ้าก็แจ้ง รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเริ่มทยอยมาที่สถานี

แม่ค้าคนหนึ่งเปิดม่านเหล็กที่ปิดร้านของชำตรงสถานี เสียงวิทยุข่าวเช้าดังตามมาหลังจากนั้น

วันใหม่มาถึง จากมืดกลับเป็นสว่าง วันนี้มาถึง ทอดทิ้งวันเก่าไปเสียสิ้น

ชายคนขับรถคันแรกคงถึงกรุงเทพฯ แล้ว

ชายที่เดินทางไประนองจะได้พบกับเมียเขาหรือไม่

พระภิกษุรูปนั้นคงได้สวดบังสุกุลในงานศพของแม่

สถานีขนส่ง รถโดยสาร การเดินทาง ทุกอย่างจะหายไปกับเรื่องเล่าในวันก่อนหน้านั้น

ผมซื้อน้ำเปล่าขวดหนึ่งจากร้านค้าที่ว่า และไม่ถึงสิบห้านาทีรถตู้คันแรกที่จะเดินทางไปประจวบคีรีขันธ์ก็มาถึง

การรอคอยจบสิ้นลง

25 น. อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของผมได้ผ่านไปแล้ว